วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รูปนามของจักรวาล...หลวงปู่ดูลย์ อตุโล


รูปนามของจักรวาล
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล(พระราชวุฒาจารย์) วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์)

สิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิตในจักรวาลมีนับไม่ถ้วน รวมแล้วมี รูปกับนาม สองอย่างนี้เท่านั้น
นามเดิม” ก็คือ ความว่างของจักรวาล เข้าคู่กันกับ “รูป” เป็นเหตุเกิดตัวอวิชชา  เกิดเหตุก่อที่ใดมีรูปที่นั้น ที่ใดมีรูปที่นั่นต้องมีนาม ที่ใดมีนามที่นั้นต้องมีรูป  
“รูปนามรวมกัน” เป็นเหตุเกิดปฏิกิริยา ให้เปลี่ยนแปลงตลอดกาล และเกิดกาลเวลาขึ้น คือ รูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันและกัน จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหว และหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย รูปเคลื่อนไหวได้ต้องมีนาม คือ ความว่างคั่นระหว่างรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้
เมื่อสภาวธรรมเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งของวัตถุ สสารมีชีวิต และไม่มีชีวิตจึงต้องเปลี่ยนแปลง เป็นไตรลักษณ์เกิดดับสืบต่อทุกขณะจิต ไม่มีวันหยุดนิ่งให้คงทนเป็นปัจจุบันได้
จิตวิญญาณ” ก็เกิดมาจากรูปนามของจักรวาล มันเป็นมายาหลอกลวง แล้วเปลี่ยนแปลงให้คนหลง
จากรูปนามไม่มีชีวิต เปลี่ยนมาเป็นรูปนามที่มีชีวิต จากรูปนามที่มีชีวิต มาเป็นรูปนามมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณ แล้วจิตวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกัน เหลือแต่นามว่างที่ปราศจากรูป  นี้เป็นจุดสุดยอดของการหลอกลวงของรูปนาม
ต้นเหตุเกิดรูปนามของจักรวาลนั้น เป็นเหตุเกิดรูปนาม พิภพต่างๆ ตลอดจนดวงดาวนับไม่ถ้วน และไม่มีที่สิ้นสุด รูปนามพิภพต่างๆ เป็นเหตุให้เกิดรูปนามพืช  รูปนามพืชเป็นเหตุให้เกิดรูปนามสัตว์เคลื่อนไหวได้ จึงเรียกกันว่า สิ่งมีชีวิต
ความจริงรูปนามจะมีชีวิต หรือไม่มีชีวิต มันก็เคลื่อนไหวได้ เพราะมันมีรูปกับนาม เป็นเหตุเป็นผลให้เกิดปฏิกิริยาอยู่ในตัว ให้เคลื่อนไหวตลอดกาล และเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เรามองด้วยตาเนื้อไม่เห็น จึงเรียกกันว่าเป็นสิ่งไม่มีชีวิต  
เมื่อรูปนามของพืชเปลี่ยนมาเป็นรูปนามของสัตว์ เป็นจุดตั้งต้นชีวิตของสัตว์ และเป็นเหตุให้เกิด จิตวิญญาณ การแสดง การเคลื่อนไหว เป็นเหตุให้เกิดกรรม 
    สัตว์ชาติแรกมีแต่สร้างกรรมชั่ว สัตว์กินสัตว์ และมีความโกรธ ความโลภ ความหลง ตามเหตุปัจจัยภายนอกภายในที่มากระทบกัน กรรมที่สัตว์แสดงออกตามตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ อย่าง ที่ไปกระทบกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ๕ อย่าง แล้วมาประทับ บรรจุ บันทึก ถ่ายภาพ ติดอยู่กับรูปปรมาณู ซึ่งเป็นสุขุมรูป แฝงอยู่ในความว่าง เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาได้ ที่แฝงอยู่ในความว่างระหว่างคั่นตา หู จมูก ลิ้น กายนั้นไว้ได้หมดสิ้น  
เมื่อสัตว์ชาติแรกเกิดนี้ ได้ตายลง มีกรรมชั่วอย่างเดียว เป็นเหตุให้สัตว์ต้องเกิดอีก เพื่อให้สัตว์ต้องใช้หนี้กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ แต่สัตว์เกิดขึ้นมาแล้วหายอมใช้หนี้เกิดกันไม่ มันกลับเพิ่มหนี้ให้เป็นเหตุเกิดทวีคูณ ด้วยเพศผู้ เพศเมีย เกิดเป็นสุขุมรูป ติดอยู่ใน ๕ กองนี้  เป็นทวีคูณจนปัจจุบันชาติ
ดังนั้น ด้วยอำนาจกรรมชั่วในสุขุมรูป ๕ กอง ก็เกิดหมุนรวมกันเข้าเป็น รูปปรมาณูกลม คงรูปอยู่ได้ด้วยการหมุนรอบตัวเอง มิหยุดนิ่ง เป็นคูหาให้จิตใจได้อาศัยอยู่ข้างใน เรียกว่า รูปวิญญาณ หรือจะเรียกว่า รูปถอด ก็ได้ เพราะถอดมาจากนาม ระหว่างคั่นตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นเอง ซึ่งเป็นสุขุมรูปแฝงอยู่ในความว่าง
รูปวิญญาณจึงมีชีวิตอยู่คงทน อยู่ยืนนานกว่ารูปหยาบ มีกรรมชั่วคอยรักษาให้หมุนคงรูปอยู่ ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดฆ่าให้ตายได้ นอกจาก "นิพพาน" เท่านั้น รูปวิญญาณจึงจะสลาย(เมื่อสังขารดับ วิญญาณจึงดับ)
ส่วนการแสดงกรรมของสัตว์ ที่ประทับอยู่ในสุขุมรูป มีรูปตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ กองนั้น  รวมกันเข้าเรียกว่า จิต จึงมี สำนักงานจิตติดอยู่ใน “วิญญาณ ๕ กองนี้” รวมกันเป็นที่ทำงานของจิตกลาง  แล้วไปติดต่อกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ภายนอก ซึ่งเป็นสื่อติดต่อของจิต
 ดังนั้น "จิตกับวิญญาณ" จึงไม่เหมือนกัน จิตเป็นผู้รู้สึกนึกคิด ส่วน วิญญาณ เป็นคูหาให้จิตได้อาศัยอยู่ และเป็นยานพาหนะพาจิตไปเกิด หรือจะไปไหนๆ ก็ได้ เป็นผู้รักษาสุขุมรูป  รูปที่ถอดจากรูปหยาบ มีรูปเพศผู้ เพศเมีย รูปตา หู จมูก ลิ้น กายที่อยู่ในวิญญาณไว้ได้ เป็นเหตุเกิดสืบภพต่อชาติ
เมื่อสัตว์ตาย ชีวิตร่างกายหยาบของภพภูมิชาตินั้นๆ ก็หมดไปตามอายุขัยชีวิตร่างกายหยาบของภูมิชาตินั้นๆ ส่วนชีวิตแท้ รูปปรมาณูวิญญาณ จะไม่ตายสลายตาม จะต้องไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ ตามเหตุปัจจัยของวัฏฏะหมุนเวียนเปลี่ยนไปด้วย
ชีวิตแท้-รูปถอด หรือวิญญาณหมุนรอบตัวเองนี้เอง เป็นเหตุให้จิตเกิดดับสืบต่อ คอยรับเหตุการณ์ภายนอกภายในที่มากระทบ จะดีหรือชั่วก็สะสมเข้าไว้ เป็นทุน เหตุเกิด เหตุดับ หรือปรุงแต่งต่อไป จนกว่ากรรมชั่ว-เหตุเกิด จะหมดไป ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณ ก็จะหยุดการหมุน 
“รูปสุขุม-รูปวิญญาณ” ซึ่งเกิดมาจากกรรมชั่ว สืบต่อมาแต่ชาติแรกเกิด ก็จะสลายแยกออกจากกันไป คงรูปอยู่ไม่ได้ มันก็กระจายไป ส่วนกิจกรรมดี ธรรมะที่ติดอยู่กับวิญญาณ มันก็จะกระจายไปกับรูปปรมาณูที่ประทับ คงเหลือแต่ความว่าง ที่คั่นช่องว่างของรูปปรมาณูทุกๆ ช่อง ฉะนั้น
ต้อง แยกรูปถอด(รูปวิญญาณ) ด้วยวิชชา มรรคจิต เหตุต้องละ ผลต้องละ ใช้หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด โดยปราศจากรูปปรมาณู ความว่างนั้นจึงบริสุทธิ์ และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่ง เป็นจิตหนึ่ง เรียกว่า นิพพาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น