วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สนทนาภาษาธรรม ตอน ๕ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล



สนทนาภาษาธรรม ตอน ๕
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล (พระราชวุฒาจารย์)
วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์)

ถาม : ผลของพิธีกรรม หรือศาสนพิธี และการทำบุญบริจาคทาน
หลวงปู่ : เรื่องพิธีกรรม หรือบุญกริยาวัตถุต่างๆ ทั้งหลาย ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยังให้เกิดกุศลได้อยู่ หากแต่ว่าสำหรับนักปฏิบัติแล้ว อาจถือได้ว่าเป็นไปเพื่อกุศลเพียงนิดหน่อยเท่านั้นเอง

ถาม : พระอรหันต์ท่านมีใจสะอาด สว่างแล้ว ท่านอาจรู้เลขหวยได้อย่างแม่นยำหรือครับ
หลวงปู่ : พระอรหันต์ท่านใส่ใจ เพื่อจะรู้สิ่งเหล่านี้หรือ ?

ถามพระอรหันต์ท่านเคยนอนหลับฝัน เหมือนคนธรรมดาด้วยหรือเปล่าครับ
หลวงปู่ : การหลับแล้วเกิดฝัน เป็นเรื่องของสังขารขันธ์ไม่ใช่หรือ

ถาม : พระปุถุชนธรรมดายังหนาด้วยกิเลส แต่มีความสามารถสอนคนอื่นให้เขาบรรลุถึงอรหันต์ เคยมีบ้างไหมครับหลวงปู่
หลวงปู่ : หมอบางคน ทั้งที่ตัวเองยังมีโรคอยู่ แต่ก็เคยรักษาคนอื่นให้หายจากโรคได้ มีอยู่ทั่วไปไม่ใช่หรือ

ถาม : หลวงปู่ยังมีเวทนาอยู่หรือ ? (ครั้งหลวงปู่อาพาธหนัก ต้องให้ออกซิเจนช่วยหายใจตลอดเวลา ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ)
หลวงปู่ : เวทนากับร่างกายนั้น มีอยู่ตามธรรมชาติของมัน แต่ไม่ได้เสวยเวทนานั้นเลย

ถาม : มีวิธีใดบ้างที่จะปฏิบัติได้ง่ายๆ หรือโดยย่อที่สุด(นายแพทย์และนางพยาบาลโรงพยาบาลจุฬาฯ)  
หลวงปู่ : มีเวลาเมื่อไร ให้ปฏิบัติเมื่อนั้น  การฝึกจิต การพิจารณาจิตเป็นวิธีลัดสั้นที่สุด

ถาม : การถือฤกษ์งามยามดี จะบวชวันไหน จะสึกวันไหน หรือวันเดือนปีไหนดี เสีย อย่างไร
หลวงปู่ : ทุกอย่างรวมอยู่ที่ความประพฤติ คือ ฤกษ์ดี ฤกษ์ร้าย โชคดี โชคร้าย เรื่องเคราะห์ กรรม บาป บุญ อะไรทั้งหมดนี้ ล้วนออกไปจากความประพฤติของมนุษย์ทั้งนั้น 

พระลูกศิษย์ : โยมเขาไม่พอใจ หลวงปู่ทราบไหม ? ครับ (มีสุภาพสตรีจากกรุงเทพฯ นำผ้าห่มชั้นดีมาถวายหลวงปู่ และขอให้ท่านเอาผ้ามาห่มให้เขาถ่ายรูปด้วย แต่หลวงปู่ปฏิเสธ)
หลวงปู่ : รู้อยู่ ที่เขามีความไม่พอใจ ก็เพราะใจเขามีความไม่พอ

พระลูกศิษย์กราบเรียนปรึกษา :  เนื่องด้วยวัดบูรพารามตั้งอยู่ใจกลางเมืองสุรินทร์ ฤดูงานช้างแฟร์หรือฤดูเทศกาลต่างๆ มีแสงเสียงอึกทึกครึกครื้นตลอดเจ็ดวันบ้าง สิบห้าวันบ้าง ภิกษุสามเณรผู้มีจิตใจยังอ่อนไหวอยู่ ย่อมได้รับความกระทบกระเทือนเป็นอย่างยิ่ง
หลวงปู่สอนว่า : มัวสนใจอะไร ? กับสิ่งเหล่านี้ ธรรมดาแสงย่อมสว่าง ธรรมดาเสียงย่อมดัง หน้าที่ของมันเป็นเช่นนั้นเอง เราไม่ใส่ใจฟังเสียงก็หมดเรื่อง จงทำตัวเราไม่ให้เป็นปฏิปักษ์กับสิ่งแวดล้อม เพราะมันมีอยู่อย่างนี้ เป็นอยู่อย่างนี้เอง เพียงแต่ทำความเข้าใจกับมันให้ถ่องแท้ ด้วยปัญญาอันลึกซึ้งเท่านั้นเอง

ถาม : ปัจจุบันนี้ ผู้สนใจปฏิบัติวิปัสสนา มีความงงงวยสงสัยอย่างยิ่ง ในแนวทางปฏิบัติ โดยเฉพาะผู้เริ่มต้นสนใจศึกษา เนื่องจากคณาจารย์ฝ่ายวิปัสสนามีแนวการสอนปฏิบัติไม่ตรงกัน และไม่ยอมรับคณาจารย์อื่น สำนักอื่นว่ามีการสอนที่ถูกต้อง กลับดูหมิ่นสำนักอื่นก็มีไม่น้อย
หลวงปู่ : การเริ่มต้นปฏิบัติวิปัสสนาภาวนานั้น จะเริ่มต้นโดยวิธีไหนก็ได้ เพราะผลมันก็เป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว ที่ท่านสอนแนวปฏิบัติไว้หลายแนวนั้น เพราะจริตของคนไม่เหมือนกัน จึงต้องมีวัตถุ สี แสง และคำสำหรับบริกรรม เช่น พุทโธ อรหัง เป็นต้น เพื่อหาจุดใดจุดหนึ่งให้จิตรวมอยู่ก่อน สงบแล้ว คำบริกรรมเหล่านั้นก็หลุดหายไปเอง แล้วก็ถึงรอยเดียวกัน รสเดียวกัน คือมีวิมุตติเป็นแก่น มีปัญญาเป็นยิ่ง

ถาม : การปฏิบัติกัมมัฏฐาน หรือทำสมาธิภาวนา มักปรากฎผลออกมาในรูปแบบต่างๆ นานา ไม่ตรงกัน ทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความสงสัยขึ้น เช่น ภาวนาแล้วเกิดนิมิตต่างๆ เช่น เห็นนรก สรรรค์ วิมาน เทวดา หรือไม่ก็เป็นพระพุทธรูปปรากฎอยู่ในร่างกายตน กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า สิ่งที่เห็นเหล่านี้เป็นจริงหรือไม่ ?
หลวงปู่ : สิ่งที่เห็นนั้น เห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็นไม่จริง นิมิตทั้งหลาย เป็นของภายนอกทั้งหมด จะเอามาทำอะไรยังไม่ได้ ถ้าติดอยู่ในนิมิตนั้นก็ยังอยู่แค่นั้น ไม่ก้าวต่อไปอีก  นิมิตบางอย่างมันก็สนุกดี น่าเพลิดเพลินอยู่หรอก แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้น มันก็เสียเวลาเปล่า วิธีละได้ง่ายๆ ก็คือ "อย่าไปดูสิ่งที่ถูกเห็นเหล่านั้น ให้ดูผู้เห็น" แล้วสิ่งที่เห็นหรือไม่อยากเห็นนั้น ก็จะหายไปเอง



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น