สนทนาภาษาธรรม ตอน ๕
(หลวงปู่ดูลย์
อตุโล (พระราชวุฒาจารย์)
วัดบูรพาราม
อ.เมือง จ.สุรินทร์)
ถาม : ผลของพิธีกรรม
หรือศาสนพิธี และการทำบุญบริจาคทาน
หลวงปู่
: เรื่องพิธีกรรม
หรือบุญกริยาวัตถุต่างๆ ทั้งหลาย ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยังให้เกิดกุศลได้อยู่
หากแต่ว่าสำหรับนักปฏิบัติแล้ว
อาจถือได้ว่าเป็นไปเพื่อกุศลเพียงนิดหน่อยเท่านั้นเอง
ถาม
: พระอรหันต์ท่านมีใจสะอาด
สว่างแล้ว ท่านอาจรู้เลขหวยได้อย่างแม่นยำหรือครับ
หลวงปู่
: พระอรหันต์ท่านใส่ใจ
เพื่อจะรู้สิ่งเหล่านี้หรือ ?
ถาม : พระอรหันต์ท่านเคยนอนหลับฝัน เหมือนคนธรรมดาด้วยหรือเปล่าครับ
หลวงปู่
: การหลับแล้วเกิดฝัน
เป็นเรื่องของสังขารขันธ์ไม่ใช่หรือ ?
ถาม
: พระปุถุชนธรรมดายังหนาด้วยกิเลส แต่มีความสามารถสอนคนอื่นให้เขาบรรลุถึงอรหันต์
เคยมีบ้างไหมครับหลวงปู่
หลวงปู่
: หมอบางคน ทั้งที่ตัวเองยังมีโรคอยู่
แต่ก็เคยรักษาคนอื่นให้หายจากโรคได้ มีอยู่ทั่วไปไม่ใช่หรือ
ถาม
: หลวงปู่ยังมีเวทนาอยู่หรือ ?
(ครั้งหลวงปู่อาพาธหนัก ต้องให้ออกซิเจนช่วยหายใจตลอดเวลา
ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ)
หลวงปู่
: เวทนากับร่างกายนั้น
มีอยู่ตามธรรมชาติของมัน แต่ไม่ได้เสวยเวทนานั้นเลย
ถาม : มีวิธีใดบ้างที่จะปฏิบัติได้ง่ายๆ หรือโดยย่อที่สุด(นายแพทย์และนางพยาบาลโรงพยาบาลจุฬาฯ)
หลวงปู่
: มีเวลาเมื่อไร ให้ปฏิบัติเมื่อนั้น
การฝึกจิต การพิจารณาจิตเป็นวิธีลัดสั้นที่สุด
ถาม
: การถือฤกษ์งามยามดี จะบวชวันไหน
จะสึกวันไหน หรือวันเดือนปีไหนดี เสีย อย่างไร
หลวงปู่
: ทุกอย่างรวมอยู่ที่ความประพฤติ คือ ฤกษ์ดี
ฤกษ์ร้าย โชคดี โชคร้าย เรื่องเคราะห์ กรรม บาป บุญ อะไรทั้งหมดนี้
ล้วนออกไปจากความประพฤติของมนุษย์ทั้งนั้น
พระลูกศิษย์
: โยมเขาไม่พอใจ หลวงปู่ทราบไหม ? ครับ (มีสุภาพสตรีจากกรุงเทพฯ นำผ้าห่มชั้นดีมาถวายหลวงปู่
และขอให้ท่านเอาผ้ามาห่มให้เขาถ่ายรูปด้วย แต่หลวงปู่ปฏิเสธ)
หลวงปู่
: รู้อยู่ ที่เขามีความไม่พอใจ
ก็เพราะใจเขามีความไม่พอ
พระลูกศิษย์กราบเรียนปรึกษา
: เนื่องด้วยวัดบูรพารามตั้งอยู่ใจกลางเมืองสุรินทร์
ฤดูงานช้างแฟร์หรือฤดูเทศกาลต่างๆ มีแสงเสียงอึกทึกครึกครื้นตลอดเจ็ดวันบ้าง
สิบห้าวันบ้าง ภิกษุสามเณรผู้มีจิตใจยังอ่อนไหวอยู่
ย่อมได้รับความกระทบกระเทือนเป็นอย่างยิ่ง
หลวงปู่สอนว่า
: มัวสนใจอะไร ? กับสิ่งเหล่านี้
ธรรมดาแสงย่อมสว่าง ธรรมดาเสียงย่อมดัง หน้าที่ของมันเป็นเช่นนั้นเอง
เราไม่ใส่ใจฟังเสียงก็หมดเรื่อง จงทำตัวเราไม่ให้เป็นปฏิปักษ์กับสิ่งแวดล้อม
เพราะมันมีอยู่อย่างนี้ เป็นอยู่อย่างนี้เอง เพียงแต่ทำความเข้าใจกับมันให้ถ่องแท้
ด้วยปัญญาอันลึกซึ้งเท่านั้นเอง
ถาม
: ปัจจุบันนี้ ผู้สนใจปฏิบัติวิปัสสนา
มีความงงงวยสงสัยอย่างยิ่ง ในแนวทางปฏิบัติ โดยเฉพาะผู้เริ่มต้นสนใจศึกษา
เนื่องจากคณาจารย์ฝ่ายวิปัสสนามีแนวการสอนปฏิบัติไม่ตรงกัน
และไม่ยอมรับคณาจารย์อื่น สำนักอื่นว่ามีการสอนที่ถูกต้อง
กลับดูหมิ่นสำนักอื่นก็มีไม่น้อย
หลวงปู่
: การเริ่มต้นปฏิบัติวิปัสสนาภาวนานั้น
จะเริ่มต้นโดยวิธีไหนก็ได้ เพราะผลมันก็เป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว ที่ท่านสอนแนวปฏิบัติไว้หลายแนวนั้น
เพราะจริตของคนไม่เหมือนกัน จึงต้องมีวัตถุ สี แสง และคำสำหรับบริกรรม เช่น พุทโธ
อรหัง เป็นต้น เพื่อหาจุดใดจุดหนึ่งให้จิตรวมอยู่ก่อน สงบแล้ว
คำบริกรรมเหล่านั้นก็หลุดหายไปเอง แล้วก็ถึงรอยเดียวกัน รสเดียวกัน
คือมีวิมุตติเป็นแก่น มีปัญญาเป็นยิ่ง
ถาม
: การปฏิบัติกัมมัฏฐาน หรือทำสมาธิภาวนา
มักปรากฎผลออกมาในรูปแบบต่างๆ นานา ไม่ตรงกัน ทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความสงสัยขึ้น
เช่น ภาวนาแล้วเกิดนิมิตต่างๆ เช่น เห็นนรก สรรรค์ วิมาน เทวดา
หรือไม่ก็เป็นพระพุทธรูปปรากฎอยู่ในร่างกายตน กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า
สิ่งที่เห็นเหล่านี้เป็นจริงหรือไม่ ?
หลวงปู่
: สิ่งที่เห็นนั้น เห็นจริง
แต่สิ่งที่ถูกเห็นไม่จริง นิมิตทั้งหลาย เป็นของภายนอกทั้งหมด
จะเอามาทำอะไรยังไม่ได้ ถ้าติดอยู่ในนิมิตนั้นก็ยังอยู่แค่นั้น ไม่ก้าวต่อไปอีก นิมิตบางอย่างมันก็สนุกดี น่าเพลิดเพลินอยู่หรอก แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้น
มันก็เสียเวลาเปล่า วิธีละได้ง่ายๆ ก็คือ "อย่าไปดูสิ่งที่ถูกเห็นเหล่านั้น ให้ดูผู้เห็น" แล้วสิ่งที่เห็นหรือไม่อยากเห็นนั้น ก็จะหายไปเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น