อุบายธรรมคำสอน
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
ภิกษุผู้อยู่ด้วยความประมาท คอยนับจำนวนศีลของตนแต่ในตำรา
คือมีความพอใจภูมิใจกับจำนวนศีล ที่มีอยู่ในพระคำภีร์ว่า ตนนั้นมีศีลถึง ๒๒๗
ส่วนที่ตั้งใจปฏิบัติให้ได้นั้น จะมีสักกี่ข้อ
อุบายธรรมคำสอนหลวงปู่ ๒
บุคคลไม่ควรเศร้าโศกอาลัยถึงสิ่งนอกกายทั้งหลาย(ความตายของบุคคลผู้เป็นที่รัก) ที่มันผ่านพ้นไปแล้ว มันหมดไปแล้ว เพราะสิ่งเหล่านั้น มันได้ทำหน้าที่ของมันอย่างถูกต้อง
โดยสมบูรณ์ที่สุดแล้ว
อุบายธรรมคำสอนหลวงปู่ ๓
เมื่อแยกพันธะแห่งความเกี่ยวเนื่องจิตกับสรรพสิ่งทั้งปวงได้แล้ว
จิตก็จะหมดพันธะกับเรื่องโลก รูป
เสียง กลิ่น รส สัมผัส จะดีหรือเลว มันขึ้นอยู่กับจิตที่ออกไปปรุงแต่งทั้งนั้น
จิตที่ขาดปัญญาย่อมเข้าใจผิด เมื่อเข้าใจผิดก็หลง
หลงอยู่ภายใต้อำนาจของเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ทั้งทางกาย และทางใจ
อันโทษทัณฑ์ทางกาย อาจมีคนอื่นช่วยปลดปล่อยได้บ้าง
ส่วนโทษทางใจ มีกิเลสตัณหาเป็นเครื่องรึงรัดไว้นั้น
ต้องรู้จักปลดปล่อยตนด้วยตนเอง พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านพ้นจากโทษทั้งสองทาง
ความทุกข์จึงครอบงำไม่ได้
อุบายธรรมคำสอนหลวงปู่ ๔
ให้ทำความเข้าใจกับสภาวะธรรมอย่างชัดแจ้งว่า
เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง สลายไป อย่าทุกข์โศก เพราะสภาวะนั้นเป็นเหตุ
อุบายธรรมคำสอนหลวงปู่ ๕
บุคคลเมื่อปลงผม
หนวด เคราออกหมดแล้ว และได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์เรียบร้อยแล้ว
ก็นับว่าเป็นสัญญลักษณ์แห่งความเป็นภิกษุได้ แต่ยังเป็นได้แต่เพียงภายนอกเท่านั้น ต่อเมื่อเขาสามารถปลงสิ่งที่รกรุงรังทางใจ
อันได้แก่อารมณ์ตกตํ่าทางใจได้แล้ว ก็ชื่อว่าเป็นภิกษุในภายในได้
ศีรษะที่ปลงผมหมดแล้ว
สัตว์เลื้อยคลานเล็กน้อยเช่นเหา ย่อมอาศัยอยู่ไม่ได้ฉันใด จิตที่พ้นจากอารมณ์ ขาดจากการปรุงแต่งแล้ว ทุกข์ก็อาศัยอยู่ไม่ได้
ฉันนั้น ผู้มีปกติเป็นอยู่อย่างนี้ควรเรียกได้ว่า "เป็นภิกษุแท้"
อุบายธรรมคำสอนหลวงปู่ ๖
ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนอยู่
ตราบนั้นย่อมมีทิฎฐิ และเมื่อมีทิฎฐิแล้วยากที่จะเห็นตรงกัน เมื่อไม่เห็นตรงกัน ก็เป็นเหตุให้โต้เถียงวิวาทกันอยู่รํ่าไป
สำหรับพระอริยเจ้าผู้เข้าถึงธรรมแล้ว
ก็ไม่มีอะไรสำหรับมาโต้แย้งกับใคร
ใครมีทิฎฐิอย่างไร ก็ปล่อยเป็นเรื่องของเขาไป
อุบายธรรมคำสอนหลวงปู่ ๗
ขอให้ท่านทั้งหลาย ผู้มาปฏิบัติธรรมที่ยังเสียดายในความสุขสนุกเพลิดเพลินทางโลก จงสำรวจดูความสุขว่า ตรงไหนที่ตนเห็นว่ามันสุขที่สุดในชีวิต
ครั้นสำรวจดูแล้ว
มันก็แค่นั้นแหละ ! แค่ที่เราเคยพบมาแล้วนั่นเอง ทำไม ? จึงไม่มากกว่านั้น มากกว่านั้นไม่มีในโลกนี้ มีอยู่แค่นั้นเอง แล้วก็ซํ้าๆ
ซากๆ อยู่แค่นั้น เกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่รํ่าไป
มันจึงน่าจะมีความสุขชนิดพิเศษกว่า
ประเสริฐกว่านั้น ปลอดภัยกว่านั้น
พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านจึงสละสุขส่วนน้อยนั้นเสีย
เพื่อแสวงหาสุขอันเกิดจากความสงบกาย สงบจิต สงบกิเลส เป็นความสุขที่ปลอดภัย
หาสิ่งใดเปรียบมิได้เลย
ธรรมโอวาทสอนคณะพระธรรมทูต
ท่านทั้งหลาย
การที่จะออกจาริกไปเพื่อเผยแผ่ ประกาศพระศาสนานั้น เป็นได้ทั้งส่งเสริมศาสนา และทำลายพระศาสนา ที่ว่าเช่นนี้ เพราะองค์พระธรรมทูตนั่นแหละ ! ตัวสำคัญ คือ เมื่อไปแล้วประพฤติตัวเหมาะสม
มีสมณสัญญาจริยาวัตรงดงามตามสมณวิสัย ผู้ที่ได้พบเห็นหากยังไม่เลื่อมใส
ก็จะเกิดความเลื่อมใสขึ้น ส่วนผู้ที่เลื่อมใสแล้ว
ก็ยิ่งเพิ่มความเลื่อมใสมากขึ้นเข้าไปอีก
ส่วนองค์ที่มีความประพฤติ
และวางตัวตรงกันข้ามนี้ ย่อมทำลายผู้ที่เลื่อมใสแล้วให้ถอยศรัทธาลง
สำหรับผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสเลยก็ยิ่งถอยห่างออกไปอีก จึงขอให้ทุกท่านจงเป็นผู้พร้อมไปด้วยความรู้
และความประพฤติ ไม่ประมาท สอนเขาอย่างไร
ตนเองต้องทำอย่างนั้น ให้ได้เป็นตัวอย่างด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น