วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ความตายไม่มีจริงในโลก



                                      
           "ความตายไม่มีจริงในโลก"

     อันว่าความตายตามโลกสมมุติบัญญัตินั้น เป็นความหลอกลวงของรูปนามในจักรวาล ไม่ใช่ความจริงแท้

     ธาตุทั้ง ๔ ในกายนั้น มิได้ตายหรือสูญสลายหายไปจากโลก ส่วนจิตนั้นก็ไม่ตาย เป็นธาตุอมตะ ว่างเปล่า ไร้ตัวตน ไม่มีผู้สร้าง และมิอาจทำลายได้ แต่มีธรรมชาติเป็นผู้รู้หรือธาตุรู้ มีชื่อเรียกว่า "จิตธาตุบ้าง มโนธาตุบ้าง วิญญาณธาตุบ้าง"

      ร่างกาย(รูป) อันประกอบด้วยธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ดิน ลม ไฟนี้ เต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูล ไม่สะอาด ไม่น่ายินดี หาได้เป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่ เราได้มาอาศัยรูปนี้ด้วยอำนาจของกรรม (กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม)ที่เป็นกุศล หรืออกุศล

      ธาตุทั้ง ๔ นี้ ไม่ได้ตายไปจากโลก ไม่ได้สูญสลายหายไปจากโลก เมื่อเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วก็แตกสลายไป กลับไปเป็นธาตุเดิมของเขา

       ดินกลับไปเป็นดิน น้ำกลับไปเป็นน้ำ ลมกลับไปเป็นลม ไฟกลับไปเป็นไฟ

       ส่วนนาม(น้อมไปได้: คือจิต ซึ่งเป็นผู้รู้) ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้น เป็นอาการของจิต หาได้เป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่เช่นกัน เกิดขึ้นโดยอาศัยรูปเป็นเหตุ ผ่านทางอายตนะภายใน ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบสัมผัสกับอายตนะภายนอก ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ(สัมผัส) และธรรมารมณ์
   
     ตามความเป็นจริงแล้ว รูปเป็นสักแต่ว่าธาตุของโลก ไม่ใช่เรา มิใช่ของเรา ส่วนนามทั้ง ๔ นั้นเกิดขึ้นโดยอาศัยรูปด้วยอำนาจของอวิชชาคือกิเลส จะเป็นเรา เป็นของเราได้อย่างไร

      จิตได้เข้ามาอิงอาศัยรูป เป็นเครื่องอยู่ เครื่องอาศัย เครื่องรู้ เครื่องระลึก ชั่วขณะหนึ่งตามอำนาจของกรรมในภพชาติหนึ่งๆ เท่านั้น เราคือจิต และความจริงแท้แม้แต่จิตก็ไม่ใช่เรา   

     รูปมิใช่เรา มิใช่ของเราจริง แต่เป็นเพราะอวิชชา (ความไม่รู้จริง ความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ ๔ เพราะขาดการคิดพิจารณาหาความเป็นจริง: โยนิโสมนสิการ) จิตจึงหลงยึดถือเป็นตน เป็นของตน

    อวิชชานั้น เป็นรากเหง้าของกิเลสทั้งปวง จึงเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูปฯ ตามปฏิจจสมุปบาท

    เมื่อหลงยึดถือขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตนเป็นของตนย่อมเป็นทุกข์ เพราะขันธ์มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดาตามกฎของธรรมชาติ(ไตรลักษณ์ : อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ถ้ายึดมากก็ทุกข์มาก ยึดน้อยก็ทุกข์น้อย ไม่ยึดเลยก็ไม่ทุกข์เลย

     ทุกข์ในอริยสัจ ๔ ก็คืออุปาทานขันธ์ ๕ นั่นเอง เพราะอุปาทานขันธ์ ๕ จึงเกิดตัณหา ๓ คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา อันเป็นเหตุแห่งทุกข์(สมุทัย) มรรคมีองค์ ๘ (ว่าโดยย่อ: ศีล สมาธิ ปัญญา) เป็นสายกลางเพื่อการดับทุกข์ (นิโรธ)ผู้ปฏิบัติจะรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง ซึ่งรู้ได้เฉพาะตน


     "จิตเป็นธาตุรู้" พร้อมที่จะรู้ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่สิ่งที่จิตรู้ มักจะรู้ผิดซึ่งเป็นความหลง

    เมื่อฝึกฝนอบรมจิตด้วยมรรคมีองค์ ๘ แล้ว นามทั้ง ๔ (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ที่เกิดขึ้นทางใจด้วยอำนาจของกิเลสทั้งอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียด จะค่อยๆ ดับหมดไปด้วยความเพียร

      พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ชี้ทางสว่างแห่งปัญญาแก่ผู้ที่หลงทาง ดุจดังส่องประทีปให้ในที่มืด เปิดของที่ปิดอยู่ให้เราเห็น หงายของที่คว่ำอยู่ให้เราดู

      ศาสนิกชนผู้ได้สดับแล้วน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติตาม จะสามารถออกจากข่ายแห่งความหลงนี้ไปได้ พระคุณของพระพุทธองค์นั้นมีมากเกินกว่าที่จะประมาณได้ เป็นบุญของเราแล้วหนอที่ได้เกิดมาพบพระศาสนาของพระองค์ สาธุ สาธุ สาธุ.