วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

หลวงตาบรรลุพระอนาคามี ... พระหลวงตามหาบัว


หลวงตาบรรลุพระอนาคามี
(จากหนังสือพ่อแม่ครูอาจารย์บัว  ญาณสัมปันโน)


เวลาออกทางปัญญานี่ ! ไม่มีในตำรา  เป็นการตามต้อนกิเลส กิเลสประเภทไหนเป็นอย่างไร สติปัญญานี้เหนือกว่า  ตามต้อนกันทัน  เผากันไปเรื่อยๆ  มันเป็นเอง  นั่นละ ! ที่มันเพลิน  มันไม่ได้หลับไม่ได้นอน  มันเพลินฆ่ากิเลส  เพราะเห็นภัยอย่างสุดหัวใจแล้ว 


ถึงขนาดที่ว่า“ยังไง กิเลสไม่ตาย เราต้องตาย”  เรื่องแพ้ไม่ต้องพูดถึง  จะให้ยกมือยอมแพ้นั้นไม่มี  ไม่สนใจกับเรื่องตากแดด ตากฝน  ไม่มีเวล่ำเวลามายุ่ง ไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักเหนื่อย เดินจงกรมจนเท้าร้อน เหมือนไฟลน แต่ไม่ถึงกับฝ่าเท้าแตก

การพิจารณาอสุภะ มันคล่องแคล่วแกล้วกล้า  มองดูคนไม่ว่าหญิงชาย จะเป็นหนุ่มสาวสวยขนาดไหน  มันทะลุเป็นเนื้อ เป็นหนังหุ้มกระดูก  แดงโร่ไปหมด  สามารถเดินบุกเข้าท่ามกลางสาวสวยๆ ไปได้  โดยไม่มีราคะตัณหาอันใดแสดงออกมา  เพราะอำนาจอสุภะมันแรง

เพื่อทดสอบว่าราคะได้หมดสิ้นไปแล้วจริงๆ หรือไม่  จึงเปลี่ยนอุบายบังคับให้หนังหุ้มกระดูกสวยงามขึ้นมาใหม่  แล้วนำมาแนบอยู่กับตัวอยู่เป็นอย่างนั้น  มันก็คอยแต่จะหยั่งลงหนังห่อกระดูก  ต้องบังคับให้อยู่แค่ผิวหนัง พอคืนที่ ๔ น้ำตาร่วงออกมา  มันบอกว่า “ยอมแล้ว” แต่ยังไม่รู้ว่าสิ้น 

จึงกำหนดพิจารณาสุภะอย่างเดียวเท่านั้น ๔ วันเต็มๆ  คืนที่ ๔ มีลักษณะยุบยับชอบกล เหมือนจะกำหนัดในรูปสวยๆ งามๆ ที่กำหนดแนบตัวอยู่เป็นประจำในระยะนั้น มีสติรู้ทัน ก็กำหนดเสริมขึ้นเรื่อยๆ นั่น ! มันมีลักษณะยุบยับเห็นไหม จับตัวโจรที่หลบซ่อนได้แล้ว  นั่น ! เห็นไหมมันสิ้นอย่างไร ถ้าสิ้นทำไม ? จึงเป็นอย่างนี้

ก็กำหนดขึ้นๆ คือคำว่า “ยุบยับนั้น เป็นแต่เพียงอาการของจิต”  ไม่มีอาการทางอวัยวะ ต้องปฏิบัติด้วยอุบายใหม่  โดยกำหนดสุภะ และอสุภะสับเปลี่ยนกัน  พอกำหนดมันก็ดับพึบเดียวๆ  จึงนั่งกำหนดอสุภะไว้ข้างหน้า ไม่ให้เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง จิตเพ่งดู  ด้วยความมีสติจดจ่อ พอกำหนดเข้าไปๆ  อสุภะที่ตั้งอยู่ข้างหน้า  มันถูกจิตกลืนเข้ามาๆ  อมเข้ามาหาจิต สุดท้ายก็รู้เห็นว่า “เป็นจิตเสียเองเป็นตัวอสุภะ และเป็นสุภะ หลอกตนเอง”  จิตก็ปล่อยผลัวะทันที 

ปล่อยอสุภะภายนอก เข้าใจแล้วทีนี้  เพราะมันขาดจากกัน  นี่ ! มันเป็นเรื่องของจิตต่างหาก  ไปวาดภาพหลอกตนเอง คือเงาตัวเอง  จิตหลอกจิต อันนั้นไม่ใช่ราคะ ไม่ใช่โทสะ  ไม่ใช่โมหะ  ตัวจิตนี้ต่างหากเป็นตัวราคะ โทสะ โมหะ พอรู้เรื่องนี้ชัดเจนแล้ว  จิตก็ถอนตัวจากนั้น มาสู่ภายใน 

มันก็ทราบชัดอีกว่า ภาพภายในนี้ก็เกิดจากจิต มันดับก็ดับที่นี่  มันไม่ได้ดับที่ไหน  พอกำหนดขึ้นมันก็ดับไป  พอกำหนดไม่นานก็ดับไป  ต่อไปก็เหมือนไฟแลบนั้นเอง  พอกำหนดขึ้นมาเป็นภาพ ก็ดับไปพร้อมๆ กันเลย  จะขยายเป็นสุภะ อสุภะ อะไรไม่ได้

ต่อจากนั้น  นิมิตภายในก็หมดไป  จิตก็กลายเป็นจิตว่าง  ว่างหมด.... กำหนดดูอะไร ? ก็ว่างไปหมด มองดูต้นไม้ภูเขาตึกรามบ้านช่องเห็นเป็นเงาๆ รางๆ  จิตมันทะลุไปหมด  ว่างไปหมด  ดูร่างกายของตนก็เป็นเงาๆ  ส่วนจิตแท้มันทะลุไปหมด  มันว่างไปหมด  มันปล่อยรูป  เวทนา สัญญา  สังขาร  วิญญาณหมด เหลือแต่ความรู้เดียว  มันดูดดื่มกับความรู้นี้อย่างเดียว  จิตดวงนี้จึงเด่น  ความเด่นนี้ทำให้สว่างไปหมด จนน่าอัศจรรย์

เมื่อเล่าถวายท่านพระอาจารย์มั่น ท่านได้เมตตาพูดขึ้นว่า “เอ้อ ! ถูกต้องแล้ว เหมาะแล้ว ได้พยานแล้ว ได้หลักได้เกณฑ์แล้ว  อย่างนี้ละ.!.."  
(ท่านพระอาจารย์มั่นเองก็ได้ธรรมเช่นนี้ คือการบรรลุพระอนาคามี ที่ถ้ำสาริกา  จังหวัดนครนายก)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น