วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หลุดพ้นจากมารทั้ง ๕...พระอธิการจรัญ ทักขญาโณ



หลุดพ้นจากมารทั้ง ๕

พระอธิการจรัญ ทักขญาโณ วัดหลวงขุนวิน(สาขาวัดสังฆทาน จ.นนทบุรี)

อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่
******

วันนี้จะแสดงธรรม เรื่อง “มาร”  ได้แก่มารทั้ง ๕ คำว่า “มาร” หมายถึง สิ่งที่มาขัดขวาง ครอบงำ คุมขังเราให้ตกอยู่ใต้อำนาจอิทธิพลของเขา ซึ่งเขามีอำนาจเหนือกว่าเรา จิตใจของเราอยู่ในอำนาจของเขามาโดยตลอด แต่เราไม่รู้จัก เราจึงจำเป็นต้องทำความรู้จักมารทั้ง ๕ นั้นได้แก่ ขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร และเทวบุตรมาร

กายและใจของเราหรือขันธ์ ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้น เราได้จากโลกนี้ ส่วนจิตของเรานั้นมาจากที่อื่นหรือภพภูมิอื่น ได้มาจับจองร่างกายที่เกิดจากบิดามารดาผู้ให้กำเนิด แต่อย่างไรก็ดีร่างกายนี้ ก็เป็นของโลกที่เรามาอิงอาศัยชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น และเป็นของมาร ขันธ์ ๕ นี้จึงมีชื่อเรียกว่า “ขันธมาร”  เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วเขาก็ให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเป็นเครื่องใช้สัมผัสสัมพันธ์กับโลกภายนอก คือรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ทำให้เกิดการปรุงแต่งตามมา เรียกว่า “อภิสังขารมาร”  และ อภิสังขารมารนี้นำไปสู่การปรุงแต่ง(ทั้งบุญหรือกุศลคือความดี บาปหรืออกุศลคือความชั่ว หรือกลางๆคือไม่ใช่บุญและบาป)ด้วยอารมณ์ต่างๆมากมาย เราถูกอิทธิพลของการปรุงแต่งครอบงำตลอดวันตลอดเวลา ไม่เคยหยุดการคิดปรุงแต่งเลย จึงเป็นปัญหาหรืออุปสรรคใหญ่สร้างความหนักใจให้แก่ผู้ปฏิบัติธรรมมาก เพราะจิตไม่เคยหยุดนิ่งเลย แม้แต่ลัดนิ้วมือเดียว เปรียบเหมือนกับลิงห้อยโหนอยู่บนกิ่งไม้ คว้ากิ่งไม้นี้แล้วปล่อยกิ่งนี้ ไปคว้ากิ่งไม้โน้น จับกิ่งไม้โน้นปล่อยแล้ว ไปจับกิ่งไม้นี้ และก็เป็นเช่นนี้ติดต่อกันไปเรื่อยๆมาทุกภพทุกชาติ จนถึงบัดนี้

เมื่อทำสมาธิจิตไม่นิ่ง เราต้องการความสงบ แต่ก็ไม่สามารถบังคับใจของเราให้สงบได้ ทั้งๆที่กายใจไม่ใช่ของใครเป็นของเรานี้เอง แต่จิตใจไม่เคยอยู่ใต้อำนาจบังคับบัญชาของเราเลย เพราะมีอำนาจบางอย่างที่จะทำให้จิตของเราอยู่ใต้อำนาจของเขา เราจึงใช้อำนาจของเราบังคับจิตไม่ได้ เราบอกจิตว่า เจ้าอย่าไปนะ เจ้าจงหยุดนะ เจ้าจงอยู่ในอำนาจของเรานะ แต่ไม่มีผลอะไรเลย จิตไม่เชื่อฟังเราเลย ทั้งๆที่เราเป็นเจ้าของชีวิต ทั้งนี้เพราะมีอำนาจอย่างอื่นที่มีอิทธิพลเหนือเขานั่นคืออภิสังขารมาร ที่จูงจิตของเราไปตลอดเวลา เป็นสาเหตุทำให้เราบังคับจิตใจไม่ได้ ถ้าเราสั่งจิตได้ จิตอยู่ใต้อำนาจของเรา ทุกคนที่นั่งสมาธิอยู่จิตต้องสงบได้ทุกคน แต่เราบังคับไม่ได้ มันจึงไม่สงบอย่างที่ใจเราต้องการ เราบอกจิตให้คิดดีๆนะ เขาจะคิดไม่ดี บอกให้เขาหยุดนะ เขาก็จะวิ่ง เขาจะทำตรงกันข้ามไปหมด แสดงว่าเราไม่อำนาจในจิตดวงนี้เลย เพราะเขาอยู่ใต้อำนาจของบางสิ่งบางอย่าง นั่นคืออภิสังขารมารนี้เอง

มารอีกอย่างหนึ่งคือ “เทวบุตรมาร” เป็นภพภูมิของเทวดาชั้นสูงสุด ซึ่งมีอำนาจมาก มีฤทธานุภาพมาก  สามารถขัดขวางการทำความดีของคนอื่น  โดยเฉพาะผู้ที่คิดหาทางออกจากโลกนี้ มารเหล่านี้เห็นพ้องต้องกันให้ทุกคนหลงเพลิดเพลินอยู่ในกามคุณ ๕ ไม่ให้จากโลกนี้ไป ใครคิดจะออกจากโลกนี้ไป เทวบุตรมารนี้จะเข้ามาขัดขวางก่อน  พระพุทธเจ้าทรงค้นหาทางพ้นทุกข์ พญามารก็เข้าไปขัดขวางทันที ตั้งแต่วันที่เสด็จหนีออกจากพระราชวังเพื่อออกบวช จนถึงวันตรัสรู้สำเร็จเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มารก็พ่ายแพ้ไป  ธิดามารคือนางตัณหา นางราคา และนางอรดี ก็อาสามาร่ายรำยั่วยุให้พระองค์ทรงมายินดีในกามคุณ สุดท้ายก็พ่ายแพ้ไปอีกเช่นกัน

สุดท้ายก็คือ “มัจจุมาร” คือ ความตาย ซึ่งมีอำนาจยิ่งใหญ่ ที่ใครๆจะขอผัดผ่อนต่อรองอะไรไม่ได้เลย บอกว่า รอก่อนนะ อย่าพึ่งตายนะ ก็ร้องขอไม่ได้ เขาไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา ร่างกายของเราทั้งหมดเป็นของมาร เรามาศัยมารอยู่ เรายืมของเขามาใช้ ในที่สุดเราต้องคืนเขาไป เราอาศัยเขาก็ต้องมีวันที่สิ้นสุด แม้แต่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพระพุทธเจ้าทรงสร้างสมบุญบารมีมามาก มีศักดานุภาพมากเพียงใด ความตายก็ไม่ว่างเว้น ต้องพลัดพรากจากไป แล้วเราจะว่างเว้นได้อย่างไร  มัจจุมารนี้ทุกคนจะต้องได้รับ นั่นคือความตาย

ดังนั้น มารทั้ง ๕ นี้ คือขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร และเทวบุตรมารจึงเป็นสิ่งขัดขวาง ครอบงำเราให้ตายจากคุณงามความดี ปิดกั้นมิให้บรรลุผลสำเร็จในหนทางแห่งความพ้นทุกข์คือพระนิพพาน และครอบงำเราให้อยู่ในอำนาจของเขาตลอดเวลา เราจะต้องประพฤติปฏิบัติให้พ้นจากอำนาจของมารให้ได้ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระราหุลว่า ราหุล ! สิ่งใดเป็นมารเธอจงละสิ่งนั้นเสีย อะไรคือมาร สิ่งนั้นคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เธอจงละความยินดีพอใจในสิ่งนั้นเสีย ขันธ์ ๕ เป็นของมาร ถ้าเธอละความยินดีในสิ่งที่เป็นของมารได้ มารย่อมไม่ได้ช่อง เธอย่อมพ้นจากอำนาจของมารได้ 

การที่เราได้ขันธ์ ๕ มาก็เพราะอาศัยกิเลส ซึ่งเป็นของมาร ทำให้มีการเวียนว่ายตายเกิด ชาตินี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์มีขันธ์ ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อได้มาแล้วเราหลงยินดีพอใจ เราก็ตกอยู่ใต้อำนาจของมาร  การมีขันธ์ ๕ นี้ทำให้จิตของเราซ่านไปหาอารมณ์ของโลกมากมาย ทำให้ไม่รู้เบื้องต้น เบื้องปลาย เมื่อเรายินดีในของๆมาร ก็ถูกมารจับทันที มารก็ครอบงำเราได้ ทำอันตรายเราได้

ดังนั้น จงพิจารณาขันธ์ ๕ ให้แจ้งชัดว่า เป็นของที่น่ายินดีหรือไม่ โดย  “โอปนยิโก” คือน้อมจิตเข้ามาดูขันธ์ ๕ ที่เรามีอยู่นั้นว่า เป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง โดย “โยนิโสมนสิการ” คือการคิดพิจารณาโดยแยบคาย ด้วยอุบายอันแยบยล ทั้งกลางวันและกลางคืน การรู้แจ้งชัดในขันธ์ ๕ ย่อมปรากฏให้เห็นตามความเป็นจริงว่า รูปเป็นอย่างนี้ เวทนาเป็นอย่างนี้ สัญญาเป็นอย่างนี้ สังขารเป็นอย่างนี้ วิญญาณเป็นอย่างนี้ รู้คุณ รู้โทษ รู้ความเกิด ความดับ รู้อุบายออก รู้ปฏิปทาออกจากขันธ์ ๕  ด้วยวิราคธรรม จนเกิดความเบื่อหน่าย คลายความกำหนัดยินดี จิตก็พ้นจากการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ละความยินดีพอใจในขันธ์ ๕ ได้ เมื่อละได้ก็เหมือนปลาไม่กินเหยื่อ เมื่อปลาไม่กินเหยื่อเบ็ดก็ไม่เกี่ยวปลานั้น นายพรานก็ไม่สามารถจับเอาไปต้มไปแกงได้ และเมื่อไม่ติดเหยื่อของมาร เราก็พ้นจากอำนาจของมาร

เราได้ขันธ์ ๕ มา เพราะอาศัยกิเลสมาร ปรุงแต่งมาจากอวิชชา การปรุงแต่งทั้งหมดเป็นของมาร  เมื่อได้ขันธ์ ๕ มาแล้ว ในที่สุดก็ให้มาเบื่อขันธ์ ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งปรุงแต่งอยู่ในวงจรของมาร เป็นของไม่ควรแก่ตน เป็นของอวิชชา ตัณหา อุปาทาน

เมื่อเบื่อมากๆ จะทำให้เราเห็นแจ้งในจตุราริยสัจ รู้ว่านี้คือทุกข์ นี้คือเหตุแห่งทุกข์ นี้คือการดับทุกข์ นี้คือปฏิปทาทางออกจากทุกข์คือมรรคมีองค์ ๘ เพราะอวิชชามี สังขารย่อมมี และ สังขารนั้นก็ไม่เที่ยง เมื่อความรู้ในอริยสัจมี สังขารก็ดับ เมื่อสังขารดับวิญญาณก็ดับ กิเลสมารก็เป็นอันทำลายได้ อภิสังขารก็เป็นอันทำลายได้ เมื่อกิเลสมาร อภิสังขารมารดับไปแล้ว เทวบุตรมารก็ทำอะไรเราไม่ได้

วิญญาณขันธ์หรือนามขันธ์ดับไปก่อน ส่วนรูปขันธ์อาศัยแต่ไม่ยึดติด เหมือนใบบัวใบบอนอาศัยน้ำเกิด แต่ไม่ติดน้ำ น้ำก็ไม่อาจซึมเข้าไปในใบบัวใบบอนนั้นได้  ส่วนรูปขันธ์ คือร่างกายเป็นของมาร ยังมีลมหายใจอยู่ก็ใช้ไปก่อน ดื่มบริโภคอาศัยโลกแต่ไม่ติดโลก อาศัยเหยื่อไม่ติดเบ็ด กินเหยื่อไม่ติดบ่วง ทำให้นายพรานคร่ำครวญว่าสัตว์นี้กินเหยื่อเราแต่ไม่ติดบ่วงเรา มารจะทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้ กินเหยื่อเขาแล้วไม่ติดบ่วงเขา เปรียบดังเราอาศัยเครื่องอยู่ของมาร ความเป็นอยู่เป็นมาร แต่ไม่ติดมาร มารจะทำอะไรเราไม่ได้  เมื่อก่อนจิตเราหลงใหลอยู่ในเหยื่อของมาร จึงตกอยู่ใต้อำนาจของมาร เมื่อหลุดพ้นจากกิเลสมาร อภิสังขารมาร เทวบุตรมาร ก็ถึงกาลอวสาน 

เมื่อมาร ๕ ดับไปแล้ว ทุกข์ก็ดับ บุคคลนั้นชื่อว่าชนะมารแล้ว อยู่ในโลกนี้ซึ่งเป็นของมาร อาศัยมารอยู่ แต่ไม่อยู่ใต้อำนาจของมาร เราอาศัยโลกแต่ไม่ติดโลก กินเหยื่อไม่ติดบ่วง เพราะเห็นแจ้งตามความเป็นจริงว่าขันธ์ ๕ เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา เมื่อเบื่อขันธ์ ๕ คลายความกำหนัดยินดีในขันธ์ ๕ ได้แล้ว จิตก็หลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นก็มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว 

สุดท้ายร่างกายนี้ยังมีลมหายใจอยู่ก็รักษาไปก่อน รอวันตาย คือมัจจุมาร ร่างกายที่เราได้มานี้เป็นของเขา เป็นของมาร เรายืมเขามา ต้องส่งกลับเขาไป เป็นการตายครั้งสุดท้ายของเรา เราเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว เรารู้แจ้งแทงตลอดในสัจเหล่านั้นแล้ว อยู่เหนืออำนาจของมารได้แล้ว ไม่หลงอยู่ในอำนาจของมารเหมือนพระอริยเจ้าทั้งหลาย 

ภิกษุเห็นขันธ์ ๕ แจ้งชัดก็รู้แจ้งโลก เห็นสังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา “สัพเพ ธัมมา อนัตตา” ก็ดับเย็น มารเห็นภิกษุแต่ไม่สามารถครอบงำจิตภิกษุให้อยู่ในอำนาจได้  เพราะจิตของภิกษุไม่ผูกพันกับอะไรๆของโลกนี้ต่อไป เทวบุตรมารก็ไม่สามารถมากร้ำกรายได้

มารทั้ง ๕ นี้เป็นอุปสรรคของการทำความดีมาโดยตลอด แต่ไม่ใช่หมายความว่า เขาจะมีอำนาจครอบคุมไปทั้งหมด โดยใครๆก็ไม่อาจหลุดรอดมารไปได้ บางอย่างมารมีอำนาจ แต่เราไม่มีอำนาจ บางอย่างเรามีอำนาจ  แต่มารไม่มีอำนาจ มารเปรียบเหมือนนายพราน เราเปรียบเหมือนเก้งกวางที่หากินในป่า นายพรานเอาบ่วงไปดักจะจับเรา เมื่อก่อนเราไม่รู้ว่าบ่วงอยู่ตรงไหน ไม่รู้บ่วงเป็นบ่วง นายพรานเอาบ่วงไปดักไว้เพื่อจะจับเรา เราก็หลงเข้าไปกินเหยื่อที่เขาล่อไว้ ก็ไปติดบ่วงของเขาในที่สุด แล้วก็พบกับความตายมาทุกภพทุกชาติ แต่เมื่อเรารู้ว่า นี่คือบ่วงของนายพราน และรู้ว่าบ่วงอยู่ตรงไหน เราก็กินเหยื่อแต่ไม่ติดบ่วงของเขา อย่างเช่นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ตราบใดที่เก้งกวางยังไม่ติดบ่วง เก้งกวางนั้นก็เป็นใหญ่กว่านายพราน ดังนั้น กาลใดเราติดบ่วงเขา เขาก็เป็นใหญ่ กาลใดเราไม่ติดบ่วง เราก็เป็นใหญ่ เขาก็เอาเราไปต้มไปแกงได้

ฉะนั้น บางคราวเราเป็นใหญ่ได้ เขาไม่เป็นใหญ่ เราอยากเป็นใหญ่ต้องไม่ไปติดกับดักของเขา เราต้องไม่ไปกินเหยื่อเขา เมื่อเป็นเช่นนี้เราสามารถหาช่องทางหนีได้ ช่องทางนั้นมีอยู่ ถ้ามิเช่นนั้นแล้วพระพุทธเจ้าและพระอริยสาวกเจ้าทั้งหลายก็หนีออกจากบ่วงของมารไม่ได้ ถ้าติดบ่วงเขา เราพ่ายก็แพ้ ถ้าไม่ติดบ่วง เราก็เยาะเย้ยเขาได้  เขาจะเอาเราไปต้มไปแกงไม่ได้ ทางออกในเรื่องนี้คือเรากินเหยื่อเขา แต่ไม่ยอมติดบ่วง เราจะเป็นผู้ไม่พ่ายแพ้

การจะให้พ้นจากมารทั้ง ๕ นี้ เราจงคลายความยินดีในสิ่งที่เป็นของมารคือขันธ์ ๕ นี้ให้ได้ ด้วยการอบรมอริยมรรค สิ่งทั้งหลายไม่มีอะไรเป็นของเรา เราจรมาพบเข้าเท่านั้นเอง ร่างกายที่ได้มาจากพ่อแม่ก็ให้เบื่อเสียด้วยวิราคธรรม คือคลายความยินดี อย่าไปหลงของๆเขาเลย อย่ากอดไว้เลย อย่ายินดีเลย มันเป็นของมาร จิตที่ชอบวิ่งออกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไปหากามคุณ ๕ คือรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสก็คลายความยินดีเสีย ให้เบื่อเสีย อย่าเอาของเขามาใช้  ถ้าเรากินเหยื่อเขาเราก็อยู่ใต้อิทธิพลของเขา เราได้อะไรมาก็คลายความยินดีให้หมดด้วยวิราคธรรม เขาให้อะไรเรามาก็ให้เบื่อเสียให้หมด  ไม่ใช่นำของเขามาใช้เสียแหลกราน หลงอยู่ในกับดักของเขา ตกอยู่ใต้อิทธิพลของเขาหมด 

เวลาทำสมาธิ เราสอนใจว่า ตอนนี้เราจะทำสมาธิ เจ้าอย่าคิดนั่นคิดนี่นะ แต่จิตไม่ฟังเราเลย จิตมันไม่ยอมสงบ ทั้งๆที่เราต้องการความสงบ เราทำสมาธิได้ยากเย็นแสนเข็ญ เพราะจิตอยู่ใต้อำนาจของมาร เขาเชื่อฟังมาร หลงเชื่อมารอย่างสนิทว่ามารเป็นของดิบของดี ถ้าเราคลายความยินดีในขันธ์ ๕ ได้ จิตจะเชื่อเราหมด จิตจะน่ารักมาก เพราะเขาพ้นจากอำนาจของมารแล้ว  เราต้องทำสงครามกับกิเลสมารมากมาย กว่าจะเอาชนะได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญ ในที่สุดเราก็พ้นได้ ชนะได้ หลังจากนั้นจิตจะอยู่ในอำนาจของเรา จิตจะน่ารักที่สุด ว่านอนสอนง่าย บอกอย่างไรก็ทำอย่างนั้น อยู่ในอำนาจของเราหมดไม่คิดเลยว่า จิตจะน่ารักอย่างนั้น ก่อนปฏิบัติจิตอยู่ภาวะหนึ่งภายใต้อำนาจของมาร เขาไม่เชื่อเราเลย เขาเชื่อฟังมาร เขาอยู่ใต้อิทธิพลของมาร น่าเบื่อหน่ายที่สุด และน่ารังเกียจที่สุด  เมื่อรู้แจ้งชัดในขันธ์ ๕ ได้แล้ว เขาจึงมาอยู่ในอำนาจของเรา ถ้าสาธุชนประพฤติปฏิบัติตามมรรคานี้ แล้วก็จะสามารถเอาชนะมารได้แน่นอน

 จิตที่อบรมมรรคาที่ถูกต้องแล้ว จิตจะอยู่ใต้อำนาจของเรา ไม่อยู่ใต้อำนาจของมารอีกต่อไป เราก็จะถึงซึ่งความสิ้นทุกข์ เห็นสิ่งทั้งหลายเป็นของมารไม่ใช่ของเรา มารทั้ง ๕ ก็ทำอะไรเราไม่ได้  การฝึกปฏิบัติของเรานั้นจะถูกขัดขวางจากมารทั้ง ๕ นี้อย่างสุดๆ และอย่างหนักหน่วง เราต้องเอาชนะตอนเป็นๆ ไม่ใช่ชนะตอนตาย ตอนเป็นๆนี้ต้องเอาชนะให้ได้ เมื่อชนะแล้ว จิตจะขึ้นตรงต่อเราคนเดียว เขาไม่ขึ้นกับใคร เมื่อก่อนเขาหาเรื่องหาราว(อารมณ์)ให้เราตลอด เราจะอัศจรรย์ใจว่า หลังจากฝึกอบรมมาดีแล้ว เขาจะเชื่อฟังเรา อยู่ใต้อำนาจของเรา มารสั่งอย่างไรเขาไม่ทำตาม แต่เราสั่งอย่างไรเขาจะทำตามเราหมด ก่อนฝึกเป็นอย่างหนึ่ง ฝึกแล้วเป็นอีกอย่างหนึ่ง จิตที่อบรมมาดีแล้ว เขาจะเชื่อฟังเราโดยตลอด เรากู้สถานการณ์กลับมาเอาชนะมารได้ ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจมารอีกต่อไป โดยมรรคมีองค์ ๘ นี้เอง จึงเอาชนะมารทั้ง ๕ ได้

พระพุทธเจ้าทรงพิชิตได้ไปก่อนแล้ว ตำราพิชัยสงคราม ท่านสอนไว้หมดแล้วทุกอย่าง เพื่อให้เราเดินตามท่านไป เพื่อเอาชนะมารอย่างที่ท่านชนะมาแล้ว ท่านพิชิตมารได้ฉันใด เราต้องชนะมารให้ได้ฉันนั้น มารนี้ไม่ใช่ยิ่งใหญ่เสียจนหาทางออกจากเขาไม่ได้  เราเป็นผู้โชคดีมากที่มาเจอพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เรามีครูดีคือพระบรมศาสดา เมื่อเราปฏิบัติตาม ในที่สุดเราจะเป็นผู้ชนะ และเมื่อนั้นมารทั้ง ๕ คือ กิเลสมารก็ดี ขันธมารก็ดี อภิสังขารมารก็ดี มัจจุมารก็ดี และเทวบุตรมารก็ดี ก็ถึงคราวที่จะทำอะไรเราไม่ได้  มรรคาที่จะเดินทางให้พ้นจากมาร ที่จะใช้ห้ำหั่นกับมาร คือมรรคมีองค์ ๘ เป็นเส้นทางเดินไปสู่จุดหมายสูงสุดคือพระนิพพาน พระพุทธองค์ทรงเอาชนะมารได้แล้ว เราก็จะเป็นผู้ชนะต่อไป


คำอธิบายเพิ่มเติม เรื่อง “มาร ๕”

มาร  คือ สิ่งที่มาขัดขวาง ครอบงำ ฆ่า ล้างผลาญ ทำลาย ให้ตายจากคุณงามความดี ปิดกั้นมิให้บรรลุผลสำเร็จในหนทางแห่งความพ้นทุกข์ มี ๕ ประเภท ได้แก่  

๑. กิเลสมาร  มารคือกิเลส แปลว่า เครื่องเศร้าหมองจิต อันได้แก่ กิเลสกองราคะหรือโลภะ โทสะ และโมหะเป็นต้น บรรดาธรรมที่เป็นเครื่องเศร้าหมองจิตทั้งหมด ทั้งที่เป็นกิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างกลาง กิเลสอย่างละเอียด  กิเลสทั้งหมดเป็นมาร เพราะเป็นตัวกำจัด และขัดขวางการบำเพ็ญความดี ทำให้เราประสบความพินาศทั้งในปัจจุบัน และอนาคต 

๒. ขันธมาร มารคือเบญจขันธ์  หรือขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ย่อลงก็เป็นนามขันธ์ รูปขันธ์ หรือที่เรียกว่า นามรูป กล่าวโดยย่อก็คือกายใจ เป็นมาร เพราะเป็นสภาพอันมีปัจจัยปรุงแต่ง มีความขัดแย้งกันเองอยู่ภายใน ไม่มั่นคงทนนาน เป็นภาระในการบริหาร ทั้งแปรปรวนเสื่อมโทรมไป เพราะชรา พยาธิ เป็นต้น ล้วนตัดรอนโอกาสมิให้บุคคลทำกิจหน้าที่ หรือบำเพ็ญคุณความดีได้เต็มความปรารถนา อย่างแรง อาจถึงกับพรากโอกาสนั้นโดยสิ้นเชิง   

๓. อภิสังขารมาร  มารคืออภิสังขาร  อภิสังขารเป็นมาร เพราะเป็นตัวปรุงแต่งกรรม คือเจตนาความจงใจต่างๆ ได้แก่ การปรุงแต่งทางกาย ทางวาจา และทางใจ เป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม  ทั้งฝ่ายบุญ บาป และเป็นกลางๆ  ซึ่งนำให้เกิดชาติ ชรา มรณะ ขัดขวางมิให้หลุดพ้นไปจากสังขารทุกข์

๔. มัจจุมาร  มารคือความตาย ความตายเป็นมาร เพราะความตายทำลายทุกสิ่งในชีวิต เป็นตัวการตัดโอกาส ในการบำเพ็ญคุณความดีทั้งหลาย  เช่น บางคนไม่เคยสนใจศึกษาและปฏิบัติธรรมเลย พอหันมาสนใจก็มีเหตุให้ต้องตายไปเสียก่อนที่จะได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมตามที่ตั้งใจไว้ ความตายจึงเป็นมาร

๕. เทวปุตตมาร  มารคือเทพบุตร  เทพยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดแห่งชั้นกามาวจรตนหนึ่งชื่อว่ามาร เพราะเป็นนิมิตแห่งความขัดข้อง คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งบุคคลไว้ มิให้ล่วงพ้นจากแดนอำนาจครอบงำของตน โดยชักให้ห่วงพะวงในกามสุขไม่หาญ เสียสละออกไปบำเพ็ญคุณความดียิ่งใหญ่ได้ คอยขัดขวางคนทั้งหลายไม่ให้ทำความดี โดยเฉพาะความดีขั้นสูงสุด คือมรรคผลนิพพาน   
พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสรู้พระธรรมเป็นพระพุทธเจ้าได้โดยง่ายดาย และแม้เมื่อตรัสรู้แล้ว ก็มิใช่ว่าจะทรงดำรงอยู่โดยง่ายดาย จะทรงประกาศพระพุทธศาสนาโดยง่ายดาย เพราะมีสิ่งขัดขวาง หรือผู้ขัดขวางมาโดยลำดับ ก็คือพญามาร เป็นหัวหน้าเทพบุตรในชั้นปรนิมมิตวสวตี คือสวรรค์ชั้นที่ ๖ มีชื่อเรียกว่า ท้าววสวัตตีมาร เป็นผู้ที่ตามผจญพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่ยังไม่ตรัสรู้ พระพุทธเจ้าทรงผจญมาร ทรงชนะมาร ธิดามารคือนางตัณหา นางอรดี นางราคา อาสามาช่วยร่ายรำยั่วยุให้พระองค์ทรงมายินดีในกามคุณ แต่ก็พ่ายแพ้กลับไป

แม้มารพ่ายแพ้ขัดขวางการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ได้ ก็ยังไม่หมดความพยายาม ยังได้ทูลขอให้พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน แต่พระองค์ก็มิได้รับคำทูลของมาร เพราะทรงมีพระมหากรุณาต่อโลก ทรงตั้งพระทัยประกาศพระศาสนา ประดิษฐานพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ให้พระสัทธรรมตั้งมั่นลงในโลก ในระหว่างนี้มารก็ได้เข้ามาทำการขัดขวางต่างๆ หรือว่าทูลส่งเสริมไปในทางผิดต่างๆ อีกหลายครั้งหลายคราว และทูลขอให้เสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อมีพระชนม์พรรษา ๘๐ พรรษา

แต่มารที่กล่าวมานี้มิได้เที่ยวทำบาปทำกรรมอะไรแก่ใคร มุ่งที่จะป้องกันมิให้พระโพธิสัตว์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่ให้พระโพธิสัตว์พ้นไปจากอำนาจของตน ถ้าไม่ตรัสรู้พระองค์ก็ต้องอยู่ในอำนาจของมาร แต่เมื่อตรัสรู้แล้วพระองค์ก็ทรงพ้นจากอำนาจของมาร มารทำอะไรไม่ได้  เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วยังทรงแสดงธรรมสั่งสอน โปรดให้เวไนยสัตว์ตลอดถึงเทพพรหมบรรลุมรรคผลนิพพานตามเป็นจำนวนมาก  ผู้บรรลุมรรคผลนิพพาน ก็พ้นไปจากอำนาจของมาร  มารจึงขวนขวายขัดขวางป้องกัน มิให้ใครๆ พ้นไปจากอำนาจของมารเท่านั้น  ก็คือพ้นไปจากอำนาจของโลก พ้นไปจากอำนาจของกิเลส
(เทวปุตตมาร ที่กล่าวไว้ในคัมภีร์พุทธศาสนา อยู่กามาวจรสวรรค์ชั้นที่ ๖ ชื่อว่า ปรนิมมิตวสวัตตี ซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายเทวดากับฝ่ายมาร โดยมีเขตแดนกั้นกันไว้ แต่ละฝ่ายไม่สามารถไปมาหาสู่กันหรือรบกวนกันได้
ฝ่ายเทวดา มีเทวาธิราช นามว่า ท้าวปรนิมมิตเทวาธิราช เป็นผู้ปกครองเทพเจ้าทั้งหลาย ให้ได้รับความรื่นเริงสำราญทั่วหน้ากัน
ฝ่ายมาร มีหมู่มาร ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ เสวยทิพย์สมบัติอยู่ด้วยอีกฝ่ายหนึ่ง ท้าวปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช เป็นผู้ปกครองหมู่มารทั้งหลาย และเป็นพระโพธิสัตว์ เคยถวายทานแบบสละชีวิตกับพระพุทธกัสสปะ ได้รับพระพุทธยากรณ์จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต เป็นองค์ที่ ๔ ต่อจากพระศรีอริยเมตไตรย มีนามว่า พระพุทธธรรมสามีและเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวในกัปนั้น ที่เข้าไปขัดขวางการตรัสรู้ของพระโคดมพุทธเจ้า ด้วยมีจิตริษยาว่า ได้บำเพ็ญบารมีมามากพอสมควรเหมือนกัน แต่เสด็จมาตรัสรู้ก่อนตน)

******




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น