วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโตผู้ทรงคุณอันบริสุทธิ์ ..หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร


พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโตผู้ทรงคุณอันบริสุทธิ์
(บันทึกโดย ... หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

• “ท่านอาจารย์มั่น เป็นคนเด็ดเดี่ยว สละชีวิตถึงตาย สลบไป ๓ คราว และท่านต้องการคนใจเด็ดเป็นสานุศิษยฯ
 • “ท่านภาวนาสถานที่เป็นมงคล มีเทวดามานมัสการตั้งหมื่น ท่านรู้ได้ด้วยภาวนาขั้นละเอียดฯ อมนุษย์ท่านก็รู้ได้
• “ท่านทำตัวของท่านใหม่อยู่ในตระกูลทั้งหลาย  ไม่ทำตัวของท่านให้คุ้นเคยในตระกูลเลย  การไปมาของท่านไปโดยสะดวก  มาโดยสะดวกไม่ขัดข้องในตระกูล
• “เป็นคนมักน้อยชอบใช้บริขารของเก่าๆ  ถึงได้ใหม่บริจาคทานให้คนอื่น ข้อวัตรหมดจดดี  สติตั้งอยู่ในสติปัฏฐานเสมอ  เป็นผู้ไม่ละกาลวาจาพูดก็ดี เทศน์ก็ดี ไม่อิงอามิส ลาภ สรรเสริญ วาจาตรงตามอริยสัจ ตามความรู้ความเห็น  อ้างอริยสัจเป็นหลักฐานเสมอ กาย วาจา ใจ เป็นอาชาไนยล้วน
• “ท่านประพฤติตนเป็นคนขวนขวายน้อยในอามิส หมดจดในข้อวัตร และหมดจดในธรรมะ พ้นวิสัยเทวดา และมนุษย์ที่จะติเตียนได้  ไม่เป็นข้อล่อแหลมในศาสนา ท่านได้วัตถุสิ่งใดมา  ท่านสละทันที  สงเคราะห์หมู่พรหมจรรย์ ฯ
• “สิ่งของอันใดท่านอยู่ที่ไหน เขาถวาย ท่านก็เอาไว้ให้พระเณรใช้ ณ ที่นั้น ท่านไม่ได้เอาไปด้วย ฯ
• “มีคนไปหาท่านอาจารย์มั่น ท่านไม่ดูคน ท่านดูจิตของท่านเสียก่อน จึงแสดงออกไปต้อนรับแขกผู้มาถึงถิ่น  อนึ่ง ท่านหันข้าง และหันหลังใส่แขก ท่านพิจารณาจิตของท่านก่อน แล้วพิจารณานิสัยของผู้อื่น นี้เป็นข้อลี้ลับมาก  ต่อนั้นถ้าจะเอาจริงจังต้องประชันต่อหน้ากัน จึงเห็นความจริงฯ
• “จิตของท่านผ่าอันตรายลงไปถึงฐานของธรรมะนี้ มีราคามาก บ่งความเห็นว่าเป็นอาชาไนยโดยแท้
• “ปฏิบัติธรรมท่านพูดทรมานใครแล้ว  ย่อมได้ดีทุกๆ คน ถ้าหมิ่นประมาทแล้วย่อมเกิดวิบัติใหญ่โต
• “ท่านมีนิสัยปลอบโยน เพื่อคัดเลือกคนดีหรือไม่ดี  ในขณะท่านพูดเช่นนั้น ท่านหันกลับเอาความจริง  เพราะกลัวศิษย์จะเพลิน ฯ
• “นิสัยท่านเป็นคนใจเดียว ไม่เห็นแก่หน้าบุคคล  ในเวลาถึงคราวเด็ดเดี่ยวต่อธรรมะวินัยจริงๆ ฯ
• “ท่านเป็นคนไม่อวดรู้  แต่ธรรมะของท่านบอกเหตุผลไปต่างหาก  นี้เป็นข้อพึงวินิจฉัย
• “หาบุคคลที่จะดูจริตของท่านรู้ได้ยาก เพราะท่านเป็นคนนิสัยลึกลับ  จะรู้นิสัยได้  ต่อเมื่อบุคคลที่มีภูมิจิตส่วนเดียว ฯ
• “ท่านผู้มีอำนาจในทางธรรมะ ทำอะไร ? ได้ไม่ครั่นคร้าม  ชี้เด็ดขาดลงไป  ไม่มีใครคัดค้าน  นี่ เป็นอัศจรรย์มาก ฯ
• “ท่านถือข้างใน ปฏิปทาความรู้ความเห็นของท่าน  เกิดจากสันตุฎฐี   ความสันโดษของท่าน  ท่านมีนิสัยไม่เป็นคนเกียจคร้าน  ขยันตามสมณกิจวิสัย  หวังประโยชน์ใหญ่ในศาสนา ฯ
• “ท่านอาจารย์มั่นเป็นผู้ที่สะอาด ไตรจีวร และเครื่องอุปโภคของท่าน  ไม่ให้มีกลิ่นเลย ถูกย้อมบ่อยๆ
• “ท่านบวชในสำนักพระอรหันต์ ๓ องค์ แต่เมื่อชาติก่อนๆ โน้น
• “ท่านไม่ใคร่พยากรณ์ใครๆ เหมือนแต่ก่อน ท่านพูดแต่ปัจจุบันอย่างเดียว นิสัยท่านชอบเก็บเอาเครื่องบริขารของเก่าไว้ใช้  เพราะมันภาวนาดี  เช่นจีวรเก่าเป็นต้น ฯ
• “ท่านไม่ติดอามิส ติดบุคคล  ติดลาภ  ยศ  สรรเสริญ  ท่านถือธรรมะเป็นใหญ่ ไปตามธรรมะ อยู่ตามธรรมะฯ
• “ท่านพูดธรรมะไม่เกรงใจใคร  ท่านกล้าหาญ  ท่านรับรองความรู้ของท่าน ฉะนั้น ท่านจึงพูดถึงพริกถึงขิง ตรงอริยสัจ พูดดังด้วย พูดมีปาฏิหาริย์ด้วย เป็นวาจาที่บุคคลจะให้สิ้นทุกข์ได้จริงๆ  เป็นวาจาที่สมถะวิปัสสนาพอ  ไม่บกพร่อง
    กำหนดรู้ตามในขณะกาย วาจา จิตวิกาลตรงกับไตรทวาร  สามัคคีเป็นวาจาที่เด็ดเดี่ยว ขลังดีเข้มแข็งดี  เป็นอาชาไนยล้วน วาจาไม่มีโลกธรรมติด  เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ พระเณรอยู่ในอาวาสท่านได้สติมาก  เพราะบารมีของท่าน  ถ้าขืนประมาทท่านเกิดวิบัติ ฯ
• “ท่านอาจารย์มั่น เทวดาและอมนุษย์ไปนมัสการท่าน เท่าไรพันหรือหมื่นท่านกำหนดได้
• “ท่านรักษาระวังเทวดามนุษย์ประมาทท่าน เช่น เยี่ยงท่านก็มีระเบียบ แม้กิจเล็กๆ น้อยๆ เป็นระเบียบหมด ฯ
• “ท่านอาจารย์ท่านพูดโน้น  คำนี้อยู่เสมอ เพื่อจะให้สานุศิษย์หลง เพื่อละอุปาทานถือในสิ่งนั้น ๆ ท่านทำสิ่งที่บุคคลไม่ดำริไว้  สิ่งใดดำริไว้ท่านไม่ทำ นี้ส่อให้เห็นท่านไม่ทำตามตัณหาของบุคคลที่ดำริไว้ ฯ
• “จิตของท่านอาจารย์มั่นผ่าอันตรายลงไป ตั้งอยู่ด้วยอมตธรรม บริบูรณ์ด้วยมหาสติ  มหาปัญญา  มีไตรทวารรู้รอบ  มิได้กระทำความชั่วในที่ลับ และที่แจ้ง และมีญาณแจ่มแจ้ง  รู้ทั้งเหตุผลพร้อมกัน  
     เพราะฉะนั้นแสดงธรรมมีน้ำหนักมาก  พ้นวิสัยคนที่จะรู้ตามเห็นตาม  เว้นแต่บุคคลบริบูรณ์ด้วยศีล และสมาธิมาแล้ว  อาจที่ฟังเทศนาท่านเข้าใจแจ่มแจ้งดี  และบุคคลนั้นทำปัญญาสืบสมาธิต่อ ฯ
• “จิตท่านอาจารย์มั่นตื่นเต้นอยู่ด้วยความรู้  ไม่หยุดนิ่งได้  มีสติรอบเสมอ ไม่เผลอทั้งกาย และวาจา  เป็นผู้มีอริยธรรมฝังมั่นอยู่ในสันดาน  ไม่หวั่นไหว  ตอนนี้ไม่มีใครที่จะค้านธรรมเทศนาของท่านได้  เพราะวาจาเป็นอาชาไนย  และมีไหวพริบแก้ปฤษณาธรรมกายได้ ฯ
• “ธาตุของท่านอาจารย์เป็นธาตุนักรู้  เป็นธาตุที่ตื่นเต้นในทางธรรมะ เป็นผู้ที่รู้ยิ่งเห็นจริงในอริยสัจธรรม  ท่านดัดแปลงนิสัยให้เป็นบรรพชิต  ไม่ให้มีนิสัยติดเพศติดสันดาน ท่านประพฤติตนของท่านให้เทวดา และมนุษย์เคารพ  และท่านไม่ประมาทในข้อวัตรน้อยใหญ่ ฯ
• “ท่านไม่ให้จิตของท่านนอนนิ่งอยู่อารมณ์อันเดียว ท่านกระตุกจิต จิตของท่านค้นคว้าหาเหตุหาผลของธรรมะอยู่เสมอ  ท่านหัดสติให้รอบรู้ในอารมณ์และสังขารทั้งปวงฯ
• “ท่านอาจารย์มั่น ท่านเก่งทางวิปัสสนา ท่านเทศน์ให้บริษัทฟัง สัญญา มานะเขาลด  เจตสิกเขาไม่เกาะ เมื่อไม่เกาะเช่นนั้น  ยิ่งทำความรู้เท่าเฉพาะในจิต  ตรวจตราในดวงจิต  ขณะที่นั่งฟัง  ต่อนั้นจะเห็นอานิสงส์ทีเดียว  ไม่ทำเช่นนั้นหาอานิสงส์การฟังธรรมมิได้  ถ้าประมาทแล้ว  จะเกิดวิบัติ เพราะราคะ มานะ ทิฐิของตน วินิจฉัยธรรมมิได้
• “ท่านเทศน์อ้างอิงตำรา และแก้ไขตำรา ดุจของจริงทีเดียว  เพราะท่านบริบูรณ์วิปัสสนา และสมถะพอ  และท่านยกบาลีเป็นตัวเหตุผลแจ่มแจ้ง
• “อุบายจิตของท่านอาจารย์มั่น ท่านพอทุกอย่าง  ไม่บกพร่อง คือพอทั้งสมถะ พอทั้งวิปัสสนาทุกอย่าง  เพราะฉะนั้น   ท่านเทศนาจิตของผู้ฟังหด และสงบ  และกลัวอำนาจ  เพราะนิสัยคนอื่นไม่มีปัญญาที่จะชอนเข็มโต้ถามได้  ตรงกับคำว่าพอทั้งปัญญา  พอทั้งสติ  ทุกอย่างเป็นอาชาไนยล้วน  รวบรัดจิต เจตสิกของคนอื่นๆ มิอาจจะโต้แย้งได้
• “ท่านว่าแต่ก่อนท่านเป็นคน 'โกง' คน 'ซน' คน 'มานะกล้า' แต่ท่านมีธุดงค์ข้อวัตรทุกอย่างเป็นยอด  ทำความรู้เท่าทันกิเลสเหล่านั้น  เดี๋ยวนี้ นิสัยก่อนนั้นกลายเป็นธรรมล้วน เช่น 'โกงสติ' 'ซนสติ' 'มานะสติ'
เป็นคุณสมบัติสำหรับตัวของท่าน  ความรู้ความฉลาดของท่าน  ไปตามธรรมคืออริยสัจ  ใช้ไหวพริบทุกอย่าง ตรงตามอริยสัจ  ตรงกับคำว่าใช้ธรรมเป็นอำนาจ  คณาจารย์บางองค์ถืออริยสัจก็จริง แต่มีโกงนอกอริยสัจ  เป็นอำนาจบ้างแฝง  แฝงอริยสัจ  ตรงกับคำที่ว่า ใช้อำนาจเป็นธรรมแฝงกับความจริง
• “ท่านอาจารย์เป็นนักปราชญ์แปดเหลี่ยมคม คมยิ่งนัก ธรรมชาติจิตของท่านที่บริสุทธิ์นั้น  กลิ้งไปได้ทุกอย่าง และไม่ติดในสิ่งนั้นด้วย  ดุจน้ำอยู่ในใบบัว กลิ้งไปไม่ติดกับสิ่งอื่นๆ เพราะฉะนั้นจิตของท่านถึงผลที่สุดแล้ว  มิอาจจะกระทำความชั่วในที่ลับ และที่แจ้ง  เพราะสติกับปัญญา รัดจิตบริสุทธิ์ให้มั่นคง  ใช้ไหวพริบเป็นอาชาไนยอยู่เนืองนิตย์


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น