วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หลักการภาวนา (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท)




หลักการภาวนา
(หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท) 

การตั้งปณิธานในการพิจารณาหลักใหญ่นั้นท่านพระอาจารย์เจี๊ยะ ท่านให้เราหัดคิดทวนกระแส หรือที่เป็นแนวความคิดดั้งเดิมของเรา เป็นต้น
เราเคยคิด และติดใจอยู่ในสมาธิมาแล้ว เราก็ต้องคิดทวนกระแสสมาธินั้นอย่างหนัก เช่น การทำสมาธิแล้วจิตสงบได้หลาย ๆ ชั่วโมงหรือจิตเกิดไปรู้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ ก็ต้องหยุดไว้ก่อนไม่เอาสิ่งนั้นมาเป็นอารมณ์
เราต้องตั้งสติพิจารณาทันที โดยเริ่มด้วยการพิจารณาที่กาย ดังได้กล่าวแล้วข้างต้น และต้องไม่ให้สมาธิมารบกวนในการพิจารณานี้ได้เลย ผลที่จะได้รับนั้นก็จะคุ้มค่าสำหรับการพิจารณาทวนกระแส
การพิจารณาทวนกระแสนี้ มีจุดมุ่งหมายให้เกิดการใช้ความคิด และการพิจารณาอย่างรอบคอบในขันธ์ ๕ เมื่อมีสติจดจ่อในขันธ์ ๕ ปัญญาหรือความคิดเกี่ยวกับขันธ์ ๕ จะเป็นไปอย่างคล่องแคล่ว และรวดเร็วว่องไวอย่างที่สุด จนทำให้ผู้ภาวนาไม่สามารถหยุดพิจารณาได้
  จึงทำให้ดูเหมือน เป็นผู้ที่มีความคิดฟุ้งซ่านไปอย่างมาก เช่น พิจารณารูปไม่หยุด เมื่อตาสัมผัสกับรูป ก็จะพิจารณารูปนั้น ๆ ทันที และโดยละเอียดกว้างขวางไปเรื่อยจนไม่มีขอบเขต หรือที่เรียกว่ามากจนเกินพอกลายเป็นฟุ้งไป ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องของการพิจารณาธรรมะล้วน ๆ
วิธีแก้ก็ต้องอาศัยสติยับยั้ง และอาศัยการเข้าสมาธิ เพื่อพักผ่อนใจให้สงบจากการพิจารณาชั่วคราว เมื่อจิตได้พักพอมีกำลังแล้วจึงพิจารณาต่อไปใหม่
การดำเนินการปฏิบัติธรรมโดยวิธีจะเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง และส่งผลไปสู่ความเข้าใจในขันธ์ ๕ อย่างถ่องแท้(นี่คือผลของการใช้วิธีพิจารณาในการปฏิบัติธรรมในขั้นต้น)
การพิจารณาอย่างนี้หากดำเนินไปเรื่อย ๆ จะส่งผลให้ผู้ปฏิบัติไม่ยึดในกายสังขาร แต่ก็เฉพาะเมื่อกายสังขารของผู้ปฏิบัตินั้น ยังสมบูรณ์เป็นปกติอยู่ นั้นก็คือ ไม่ยึดก็จริง แต่ยังไม่ถือว่า เป็นขั้นเด็ดขาด
เพราะหากผู้ปฏิบัตินั้นเกิดเจ็บป่วยขึ้นอย่างรุนแรง ความยึดติดในกายสังขารของผู้ปฏิบัตินั้น ก็จะปรากฏขึ้นทันที เช่น มีอาการกลัวตาย หรือจิตจะเข้ามาบงการ เพื่อขจัดปัดเป่าความเจ็บป่วยนั้น
ซึ่งโดยสรุป ก็คือ ความกลัวตายนั่นเอง ซึ่งก็เป็นผลที่สืบเนื่องมาจากการยังเป็นผู้ยึดติดในกายสังขาร นั่นเอง
สิ่งที่สมควรจะย้อนกลับมาดูผล ในการพิจารณาขันธ์ ๕ ของตน ก็คือพิจารณาขันธ์ ๕ ของผู้ปฏิบัตินั้น ยังไม่เพียงพอ ยังเป็นผู้ยึดติดในขันธ์ ๕ ของตนอยู่ หากผู้ปฏิบัติเป็นผู้ที่มีความพร้อมในการพิจารณาก็จะเกิดการฮึดสู้ และพิจารณาในขั้นต่อไปได้
การพิจารณาถึงเวทนา ความเจ็บป่วยที่เกิดแก่ตัวผู้ปฏิบัติ ในขณะนั้น เมื่อผู้ปฏิบัติเห็นเวทนาเป็นไตรลักษณ์ และไม่ติดในเวทนา ไม่ว่าจะเป็นเวทนาในทางบวก คือการอยากหายอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป และเวทนาในทางลบ คือต้องการให้การเจ็บป่วยระงับไปโดยเร็ว เช่น ฆ่าตัวตาย
เมื่อผู้ปฏิบัติไม่ติดอยู่ในเวทนา จิตย่อมเป็นอิสระจากเวทนา หากนักปฏิบัติภาวนาไม่รอบคอบ คิดว่าเวทนาเป็นข้าศึกของจิตใจแต่ฝ่ายเดียว ก็จะไม่รู้เท่าทันเวทนาได้โดยสมบูรณ์
ธาตุขันธ์ทรงตัวอยู่ได้ก็เพราะเวทนา หากเวทนาบกพร่องร่างกายก็จะไม่สมบูรณ์ เช่น ขาข้างซ้ายไม่มีเวทนาอยู่เลย หรือที่เป็นอัมพาต การเดินก็จะทำได้ยาก เพราะเหตุที่เวทนาที่บังคับขาซ้าย ไม่สมบูรณ์
ฉะนั้น เวทนาไม่ว่าจะในการบวกหรือลบ "ย่อมมีคุณอยู่เหมือนกันสำหรับผู้รู้ แต่จะมีโทษสำหรับผู้หลง” เมื่อเวทนาเกิดขึ้น จิตที่จะแส่ส่ายออกไปรับรู้ภายนอกนั้น ค่อนข้างจะยาก จิตจึงเริ่มรวมตัวใกล้ชิด โดยไม่ต้องใช้คำบริกรรมเข้าช่วยลักษณะเช่นนี้ เรียกว่า "เวทนาอบรมสมาธิก็ได้" แต่ต้องอาศัยผู้ที่ห้าวหาญ ต่อความเป็นจริงของเวทนา ซึ่งเป็นลักษณะของจิตที่ออกจะดื้อหรือรวมตัวได้ยาก
เวทนาเมื่อเกิดขึ้นหากไปเอาสมาธิเข้าระงับ ยอมรับความจริง โดยใช้ปัญญาเข้าคลี่คลายแก้ไขทันที นี่เป็นผลของเวทนาอบรมปัญญา

วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

รักอื่นยิ่งกว่าพระนิพพานนั้นไม่มี (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท)



รักอื่นยิ่งกว่าพระนิพพานนั้นไม่มี
(หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท)

หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท เป็นพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านเป็นศิษย์ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งเป็นผู้ที่เรียกท่านว่า “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง”
หลวงปู่เจี๊ยะได้อธิบายความหมายของ “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” ไว้อย่างลึกซึ้งว่า
“ชีวิตนี้เป็นประดุจผ้าขี้ริ้ว เป็นเหมือนถังขยะ ที่คอยเก็บอานิสงส์ของกรรมดีชั่ว แล้วก็ให้ผลแก่เราเป็นผู้เสวย ถ้าเรานำชีวิตที่เราพิจารณาเห็นด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว น้อมพิจารณาให้เกิดธรรมะขึ้นภายในใจ ธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจนั่นแหละ จะเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทองขึ้นมาทันที
เพราะร่างกายของคนนี้ไม่มีค่า มันมีค่าอยู่ที่หัวใจที่มีธรรม รูปธรรมทุกๆ อย่างจึงเป็นผ้าขี้ริ้ว นามธรรมคือหัวใจที่ฝึกปฏิบัติ จนได้เห็นธรรมตามความสามารถ นั่นแหละเป็นทอง คือธรรมสมบัติอันล้นค่า ปรากฏเด่นขึ้นมาเป็นสักขีพยาน...”
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ท่านเป็น “ทองเนื้อแท้” ที่น่าเคารพนับถือ
ในสมัยที่ท่านยังเป็นฆราวาสนั้นท่านเป็นคนตรงไปตรงมา ยอมหักไม่ยอมงอ เมื่ออายุครบอุปสมบทได้ ๒ ปี ท่านก็มีความคิดจะบวชทดแทนคุณบุพการี และหวังว่าจะสึกออกมาแต่งงานกับคนรักที่ชื่อว่า “แป้ง”
     
ซึ่งก่อนจะบวชนั้นมีคนสบประมาทไว้ด้วยว่า อาจอยู่ได้ไม่ครบพรรษา พ่อแม่ของท่านได้นำไปฝากไว้กับ หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ
ศิษย์อาวุโสท่านหนึ่งของพระอาจารย์มั่น ท่านได้จำพรรษาที่วัดทรายงาม ตำบลหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี 
  แม้หลวงปู่เจี๊ยะตั้งใจว่าบวชเพียงไม่นาน ก็จะสึกออกมาใช้ชีวิตฆราวาส แต่ก็ตั้งใจปฏิบัติอย่างเต็มที่ ซึ่งปรากฏว่าท่านได้ซาบซึ้งในรสพระธรรมยิ่งนัก
“เมื่อภาวนาจิตลงได้อย่างนั้นแล้ว สมบัติใดๆ ในโลกที่เขานิยมว่ามีค่ามาก จะเอามากองให้เท่าภูเขาเลากา ไม่ได้มีความหมายเลย ธรรมสมบัติที่ปรากฏเมื่อคืนนี้ เป็นธรรมสมบัติเหนือรัตนะเงินทองโดยประการทั้งปวง อัศจรรย์ในธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นที่ยิ่ง จิตไม่เกี่ยวเกาะด้วยกามคุณเลย”
จนที่สุดท่านก็ตัดสินใจว่าจะไม่ลาสิกขา ทั้งที่เดิมเคยสัญญากับคนรักว่า จะบวชเพียงพรรษาเดียว แล้วจะสึกไปแต่งงานด้วย
อยู่มาวันหนึ่งเดินออกบิณฑบาต เจอคนที่เราเคยรักมาใส่บาตร เราจึงบอกสาวคนที่เรารักนั้นไปว่า 
  “แป้งเอ๊ย...ต่อแต่นี้ไปเราจะไม่สึกแล้วนะ” จริงๆ แล้วถ้าจะพูดกันให้ชัดๆ ต้องพูดว่า “แป้งเอ๊ย...เราไม่โง่แล้วนะ ไม่ไปเป็นขี้ข้าราคะตัณหาของใครอีกแล้ว” ท่านพูดว่า ถ้าพูดอย่างนั้นกลัวเขาจะเสียใจ
ท่านได้เล่าถึงชีวิตของสาวแป้งว่าในที่สุดก็แต่งงานไปกับชายคนหนึ่ง ใช้ชีวิตและตายไปในที่สุด
...นั้นเห็นไหมเขาไม่ได้อันใดเลย ซึ่งอันนี้แต่ก่อนเป็นสิ่งที่เรารัก ชีวิตที่ไม่ได้พบกัลยาณมิตรมันก็ตายเปล่าไปอย่างนั้น แต่อันนี้เราจะไปพูดกับคนอื่นไม่ได้ บางทีเขาไม่เข้าใจ เพราะเขาไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องอรรถธรรม...”
ชีวิตของผู้ปฏิบัติธรรมที่มีครูบาอาจารย์ และเพื่อนสหธรรมิก นับเป็นชีวิตที่มีค่า ชีวิตที่ได้ลิ้มรสอมฤตธรรม อันพ้นแล้วจากกิเลสตัณหาทั้งปวง นับเป็นชีวิตที่มีความสุขไม่มีสิ่งใดเปรียบปาน
ในเรื่องความรักและกิเลสตัณหาต่างๆ นี้ หลวงปู่เจี๊ยะได้กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไว้ถูกที่สุดว่า
“ผู้ใดขยี้กามราคะ ตัณหา อันเป็นเหมือนเปือกตมได้ ขยี้หนามคือกามราคะ ตัณหาไปเสียได้ ผู้นั้นนับได้ว่าเป็นผู้หมดโมหะ ไม่สะทกสะท้านในนินทา สรรเสริญ ทุกข์หรือสุข ถ้าใครปฏิบัติได้มันก็เป็นอย่างนั้น”