วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

มาเป็นพุทธทาสกันเถิด..พุทธทาสภิกขุ



มาเป็นพุทธทาสกันเถิด
(พุทธทาสภิกขุ)

มีการเป็นทาสชนิดหนึ่ง เป็นทาสที่ไม่ต้องเลิก ยิ่งมีมาก ยิ่งดี ยิ่งเป็นทุกคนด้วยแล้ว โลกยิ่งมีสันติภาพ ไร้วิกฤตกาล นั้นคือ การเป็นทาสของพระพุทธองค์ เรียกว่า “พุทธทาส”
พุทธทาส แปลว่า ผู้รับใช้พระพุทธองค์อย่างถวายชีวิต ในฐานะเป็นหนี้ในพระมหากรุณาธิคุณด้วย เพราะความกตัญญูด้วย และเพราะเห็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ด้วย จึงสมัครมอบกายถวายชีวิตหมดสิ้นทุกประการ เพื่อรับใช้พระพุทธองค์ เพื่อกระทำสิ่งที่เชื่อว่าเป็นพระพุทธประสงค์
พระพุทธองค์ไหน ตอบอย่างภาษาคน ก็พระพุทธองค์ที่เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ ที่ทรงอุบัติขึ้นในโลก ตรัสรู้แล้วสั่งสอนสัตว์ จนตลอดพระชนมายุ เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว   
แต่ถ้าตอบอย่างภาษาธรรม ก็ได้แก่ พระพุทธองค์ตรัสไว้ในข้อความที่ว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม" อันเป็นพระพุทธองค์ ซึ่งจะยังทรงอยู่ ตลอดกาลนิรันดร และมีได้ในบุคคลทุกคนที่เห็นธรรม สิ่งนั้น คือ สติปัญญาที่ดับทุกข์ได้
 ตามหลักที่ตรัสไว้ว่า “ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม" ถ้าถือตามหลักนี้ ก็คือ รับใช้สติปัญญาของตนเอง ที่เห็นธรรมจนดับทุกข์ของตนได้ แล้วช่วยเหลือผู้อื่นให้ดับทุกข์ได้ด้วย และมีผลแก่ชาวโลก ตรงตามพระพุทธประสงค์ ถือเอากิจกรรมนี้ เป็นหน้าที่ที่ต้องทำอย่างสุดชีวิตจิตใจ
รับใช้กันอย่างไร ? รับใช้ด้วยการกระทำ ให้เกิดความถูกต้อง ทั้งในส่วนปริยัติ และปฏิบัติ ให้เกิดผล เป็นปฏิเวธที่แท้จริง ให้เพื่อนมนุษย์ รู้ธรรมะ มีธรรมะ ใช้ธรรมะ ได้รับผลจากธรรมะ มีชีวิตที่เยือกเย็น เป็นนิพพานกัน ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ตามสัดส่วน แห่ง สติปัญญา ความสามารถแห่งตนๆ ทำให้สติปัญญาชนิดนี้ ปรากฏแพร่หลายไปทั่วโลก และทุกโลก 
ทุกโลกในที่นี้ หมายถึง ทุกชนิดแห่งบุคคล ที่หลงใหลในกาม ในรูป หรือวัตถุ และในอรูป คือสิ่งที่ไม่มีรูป เช่น อำนาจวาสนาบารมี หรือแม้แต่ในบุญกุศล อีกอย่างหนึ่ง ก็พูดว่า ทั้งเทวดา และมนุษย์ มนุษย์ คือ ผู้ที่ต้องอยู่กับเหงื่อ เทวดา คือ พวกที่ไม่รู้จักเหงื่อนั่นเอง
โลกในภาษาคน คือ โลกพิภพที่อยู่นอกตัวคน ดังที่เห็นๆกันอยู่
ส่วนโลกในภาษาธรรมนั้น เป็นโลกในตัวคน ได้แก่ภูมิแห่งจิตที่แตกต่างกันตามภูมิ ตามชั้น ธรรมะต้องครอบงำทั่วทั้งโลกและทุกโลกจริงๆ อย่างแพร่หลาย
แพร่หลายทั่วโลกอย่างไร ? คือ ทำให้กลายเป็นสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันของมหาชน ทุกชั้นทุกคน มีสติปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ ขันติ ในการทำหน้าที่ของตน ทุกกาลและเทศะ คือทุกวินาที และทุกกระเบียดนิ้ว ทุกคนทำหน้าที่ อย่างสนุกสนาน มีความพอใจ และความสุข จากความพอใจตลอดเวลาที่ทำงาน มิใช่เมื่อรับผลงาน ไปประกอบกิจกรรมอบายมุขทั้งหลาย มีความถูกต้อง ตลอดทั้งวัน ค่ำลงนึกดูแล้ว ยกมือไหว้ตัวเองได้ เป็นสวรรค์ที่แท้จริง ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่มีใครว่างงาน เพราะเห็นหน้าที่การงานทุกชนิดว่า นั่นแหละ คือตัวธรรมะ ที่เขารู้จักกัน มาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล
มีความถูกต้องทั้งในส่วน "ปริยัติ ปฎิบัติ ปฏิเวธ" นั้นเป็นอย่างไร ? คำว่าถูกต้องนี้ มิได้หมายถึง ถูกต้องตามทางตรรก หรือทางปรัชญาชนิด ฟิโลโซฟี่ หากแต่ถูกต้อง ตามหลักการของพุทธบริษัท คือมีผลปรากฏ เป็นการไม่เบียดเบียนใคร แต่ทุกคนได้รับประโยชน์ อย่างที่มีความรู้สึกอยู่แก่ใจ ไม่ต้องเชื่อใคร หรือให้ใครบอก (นี้เป็น สันทิฏฐิโก)
เป็นความถูกต้อง ที่เรียกใครๆ มาดูได้ เพราะมีให้ดูอยู่ ที่เนื้อ ที่ตัวจริงๆ (นี้เป็น เอหิปัสสิโก)
และมีผลไม่ขึ้นอยู่กับเวลา เมื่อนั้นเมื่อนี้ หรือต่อชาติหน้า หากแต่มีทันทีตลอดเวลา ที่ปฏิบัติหน้าที่นั้นๆ อยู่ (นี้เป็น อกาลิโก)
ความถูกต้อง คือไม่ทำใครให้เดือดร้อน แต่มีผลดีแก่ทุกฝ่าย รวมทั้งตนเองด้วย เป็นความหมายที่ชัดเจน ไม่ต้องถุ้งเถียงกัน หรือต้องขึ้นศาล
ปริยัติ คือ ความรู้ ก็ถูกต้อง
ปฏิบัติ คือ การกระทำ ก็ถูกต้อง
ปฏิเวธ คือ ผลของการกระทำ ก็ถูกต้อง เพราะมันมีความรู้ และ การกระทำอย่างถูกต้องนั่นเอง
ดับทุกข์ได้จริงอย่างไร ?  คือมีความเย็นอกเย็นใจของทุกคนในชีวิตประจำวัน ถ้าเขามีความรู้เรื่อง สุญญตา ตถตา และอตัมมยตา อย่างเพียงพอแล้ว ไม่มีอะไรมาทำให้เกิดความเร่าร้อนได้เลย
จิตของเขาไม่อยู่ใต้อำนาจ ของความเป็นบวกเป็นลบ เพราะเห็นสิ่งทั้งปวง โดยความเป็น "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ไม่หิวกระหายในสิ่งใด นอกจากความอิ่ม เพราะรู้สึกว่าได้กระทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง และเหงื่อนั้น คือน้ำมนต์ หรือสิ่งชักจูงให้พระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย มาช่วยเหลือ รู้ชัดจนแน่ใจว่า ถ้าไม่ประพฤติธรรม คือหน้าที่แล้ว ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ มาช่วยได้ ให้มาสักฝูงหนึ่ง ก็ช่วยไม่ได้
 ถ้าทำหน้าที่อย่างถูกต้องแล้ว เหงื่อนั่นแหละ กลายรูปเป็นพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกที่ช่วยได้จริง เขาเชื่อมั่นว่ามีอะไรเป็นตัวตน สิ่งนั้นแหละจะช่วยจนกว่า จะหมดตัวตนซึ่งไม่ต้องการช่วยเหลืออะไรจากใครอีกต่อไป 
ความเห็นแก่ตัวเป็นของร้อน แต่ความไม่เห็นแก่ตัวหรือหมดความเห็นแก่ตัว เป็นของเย็น จะทำงานสิ่งใด ก็ทำด้วยสติปัญญา หรือสัมมาทิฎฐิ  ไม่ทำด้วยอำนาจความเห็นแก่ตัว ซึ่งจะเผาลนตลอดเวลา
อย่างไรเรียกว่าหมดความเห็นแก่ตัว?  ก็โดยศึกษาเรื่องความไม่มีตัว กาย และใจ เป็นธรรมชาติที่รู้จักคิด รู้สึกพูด และทำอะไรได้ โดยไม่ต้องมีผี หรือเจตภูต เข้าสิง ดังนั้น ต้องทำทุกสิ่งให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ตามที่เราจะต้องการผลอย่างไร
ถ้ายังโง่อยู่ ยังเห็นว่ามีตัว ก็อย่าเห็นแก่ตัว เพราะมันจะกัดเอา ด้วยความโลภ โกรธ หลง ซึ่งมีลักษณะเป็นไฟ มีสติสัมปชัญญะ เมื่อรับอารมณ์ใดๆ ไม่ให้ปรุงขึ้นมา เป็นความเห็นแก่ตัว มีแต่สติปัญญา จัดการกับอารมณ์นั้นๆ ตามที่ควร มีสัมมาทิฎฐิ เห็นชัดอยู่เสมอว่า ความเห็นแก่ตัว หรือยึดถือกายและใจ หรือขันธ์ทั้งห้า ว่าเป็นตัวนั้น เป็นเหตุแห่งความรู้สึกเป็นทุกข์ หรือเป็นตัวทุกข์เสียเอง ปราศจากความยึดถือนี้แล้ว ความทุกข์เกิดไม่ได้ ชีวิตจะเป็นของร้อนไม่ได้
สัมมาทิฎฐิสูงสุดนั้นเป็นอย่างไร ? เป็นความรู้จักสิ่งทั้งปวงว่าเป็นสิ่งปรุงแต่ง มีมาจากเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่ง และจะปรุงแต่งสิ่งอื่นต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุดนั้น คือกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลง หรือความไม่เที่ยง ซึ่งเรียกว่า อนิจจัง
เพราะต้องเป็นไปกับด้วยสิ่งที่อนิจจัง หรือเปลี่ยนเรื่อย ก็เกิดอาการที่เป็นทุกข์ทนยาก หรือที่เรียกว่า ทุกขัง
เพราะไม่มีอะไรต้านทานได้ ต่อสิ่งที่ไม่เที่ยง และเป็นทุกข์ จึงเรียกว่า ไม่มีตน หรือ ไม่ใช่ตน หรือ อนัตตา
การที่เป็นไปด้วยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้ เรียกว่า ธัมมัฎฐิตตา คือ ความที่เราต้องเป็นไปเช่นนี้ เป็นธรรมดา
ทั้งนี้เป็นเพราะมี กฎของธรรมชาติบังคับอยู่ นี้เรียกว่า ธัมมนิยามตา
อาการที่ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยอย่างนี้ เรียกว่า อิทัปปัจจยตา  เป็นกฎธรรมชาติ มีอำนาจเสมอ สิ่งที่เรียกกันว่า "พระเป็นเจ้า"
 การที่ไม่มีอะไร ต้านทาน กฎอิทัปปัจจยตา นี้เรียกว่า สุญญตา คือ ว่างจากตัวตน หรือว่างจากความหมาย แห่งตัวตน มีความจริงสูงสุด เรียกว่า ตถตา คือ ความเป็นเช่นนั้นเอง อย่างไม่ฟังเสียงใคร ใครจะฝืนให้เป็นไปตามใจตน มันก็กัดเอง คือ เป็นทุกข์ ในที่สุดก็เกิดความรู้สึก ขั้นสุดท้ายว่า อตัมมยตา ความที่ไม่อาจอาศัย หรือเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้อีกต่อไป
ซึ่งเป็นความหมาย อย่างภาษาชาวบ้าน พูดว่า “กูไม่เอากะมึงอีกต่อไปแล้ว" สลัดออกไปเสีย ก็คือ การบรรลุมรรคผล ธัมมฐิติญาณ
รู้ความจริงของสังขาร สุดลงที่ อตัมมยตา ต่อจากนั้น ก็เป็นกลุ่ม นิพพานญาณ เป็นฝ่ายโลกุตตระ เริ่มต้นแห่งความเย็น หรือ ความหมายของนิพพาน โลกกลายเป็นโลกเย็น ในที่สุด  
โลกก็กลายเป็นโลกเย็น เพราะเต็มไปด้วยศีลธรรม หรือภาวะปกติไม่วุ่นวาย อยู่ภายในจิตใจของคน  แม้ว่าภายนอกกาย จะมีความวุ่นวาย ตามธรรมดาโลก ความเย็นอกเย็นใจ เป็นสิ่งที่หาได้ง่าย ในหมู่คนเหล่านั้น แม้ว่าจะมีเหตุการณ์อันสับสนวุ่นวาย เพราะมีจิตที่ปราศจากความยึดมั่น อย่างโง่เขลา ไม่ยอมรับสภาพ เช่นนั้นเอง ของธรรมดาโลก เรือนจำ สถานีตำรวจ ศาล โรงพยาบาลประสาท และ โรงพยาบาลโรคจิต จะลดลง เมตตา และความสัตย์ จะเป็นสิ่งหาได้ง่าย ในสังคมนั้น มีลักษณะเป็นโลกของพระศรีอารยเมตไตรย  แม้ระเบิดปรมาณูจะลงมา ทุกคนก็ยังหัวเราะได้ เพราะความไม่ยึดมั่นในตัวตน และไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก เพราะอำนาจของสัมมาทิฏฐิ ดังกล่าวแล้ว ไม่อาจปล่อยให้ ปรุงเป็นความทุกข์ หรือความกลัวขึ้นมา ทั้งนี้ เป็นผลงานของ บรรดาเหล่าพุทธทาสทั้งหลาย ที่ได้พยายาม ทำหน้าที่ของตน ตามกำลังสติปัญญา
จะเป็นพุทธทาสกันได้สักกี่คน ?  ถ้าไม่มองข้ามกันเสีย ก็มีคนที่เป็นพุทธทาสกันอยู่ทั่วไปอย่างมากมาย แต่มิได้เรียกชื่อตัวว่า พุทธทาส กลัวเสียเกียรติ สู้เรียกตนว่า อุบาสก อุบาสิกา ไม่ได้ ทุกคนสวดบททำวัตรเย็นว่า พุทฺธสฺสาหสฺมิ ทาโส ว พุทฺโธ เม สามิกิสฺสโร อยู่ด้วยกันทุกวัน เป็นการประกาศตัวว่าเป็นพุทธทาส ด้วยไร้สำนึกหรืออย่างไร ควรจะลองคิดดู
 แต่การที่จะเป็นพุทธทาสให้ตรงหรือเต็ม ตามพระพุทธประสงค์ นั้นคือ ทำหน้าที่นั้นๆ ให้สมบูรณ์  มิใช่เพียงแต่ร้องประกาศ โดยไม่รู้ความหมาย อันแท้จริง หน้าที่นั้น คือสิ่งใด เป็นพระพุทธประสงค์ ต้องบากบั่น กระทำให้สำเร็จ ตามพระพุทธประสงค์ พระพุทธประสงค์นั้น สรุปให้สั้นที่สุด ก็คือ ให้ทุกคนเป็นผู้รู้ ผู้ตื่นจากหลับ และเป็นผู้เบิกบาน ไม่รู้จักความทุกข์ อีกต่อไป
 ความรู้ เรื่องพระนิพพาน อันเป็นสันทิฏฐิกัง อกาลิกัง เอหิปัสสิกัง เป็นหัวใจของเรื่องนั้น แต่กลับพากันเห็นเป็นเรื่องสุดวิสัย และพ้นสมัยไปเสีย ข้อนี้ มีค่าเท่ากับพระพุทธศาสนาหมดสิ้นไปแล้ว อย่างน่าเศร้าเหลือประมาณ ผู้สมัครเป็นพุทธทาสทุกคน ต้องรับรู้เรื่องนี้ให้เพียงพอ
ทุกคนเป็นพุทธทาสได้ และมีอะไรพร้อมที่จะเป็น ยังขาดอยู่แต่ "สัมมาทิฏฐิ" หรือความเข้าใจอันถูกต้อง ดูให้ดีจะพบว่า เดี๋ยวนี้ ก็กำลังเป็นกันอยู่ เป็นจำนวนไม่น้อย หากแต่ไม่ประกาศตัว เพราะเมื่อตั้งใจจะทำจริงๆ แล้ว ก็ไม่ต้องประกาศก็ได้ การชักชวนนี้ ก็มิใช่ต้องการให้ประกาศตัว ขอแต่ให้ทำจริง ด้วยการทำตัวอย่าง แห่งบุคคล ผู้มีชีวิตเย็นให้ดู และพยายามชี้แจงให้เข้าใจชีวิต ระบอบนี้ให้ยิ่งขึ้นไป และพยายามทำให้ เพื่อนมนุษย์รู้ธรรม โดยไม่ถือว่าเป็นบุญคุณ หรือต้องการบุญคุณ ให้ใครตอบแทน ทุกคนย่อมทำได้ตามมากตามน้อย ที่จะทำไม่ได้เสียเลยนั้น ดูจะไม่มี 
ในที่สุดนี้ เมื่อเราพุทธบริษัท พยายามทำกันอยู่อย่างนี้ จนสุดความสามารถแล้ว พระพุทธประสงค์ ก็ได้รับการตอบสนองอย่างถึงที่สุด ประโยชน์สุขก็จะเกิดขึ้นแก่โลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์ พร้อมทั้ง สมณพราหมณ์พร้อมทั้งเทวดา และมนุษย์ เต็มตามพระพุทธประสงค์ และพระพุทธดำรัส ที่ทรงเอ่ยชื่อหมู่สัตว์ เหล่านี้เสมอ ในพระพุทธภาษิตนั้นๆ
เรามาเป็นพุทธทาสกันเถิด สมควรแก่กาล และเทศน์อย่างยิ่งแล้ว มาเถิด
โมกขพลาราม ๓๐ เม.ย.๓๑

พุทธธรรม ...พุทธทาสภิกขุ



พุทธธรรม
(พุทธทาสภิกขุ)

        พุทธธรรม คือ สิ่งๆ หนึ่งที่จะทำให้คนธรรมดากลายเป็นพุทธะ คือผู้ตรัสรู้ ผู้เบิกบาน เป็นสิ่งธรรมดาอย่างหนึ่ง ซึ่งมีอยู่เบื้องหลังของชีวิต รุ่งเรืองสว่างไสวอยู่เสมอ ไม่รู้จักดับ ทรงตัวเองอยู่ได้ตลอดกาล และพร้อมอยู่เสมอที่จะสัมผัสกับใจ ถ้าหากลอกเอาเครื่องหุ้มห่อจิตออกเสียได้เมื่อใด ก็จะพบสิ่งๆนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ให้แต่ความสงบ เยือกเย็น ความสะอาด และความแจ่มแจ้ง ในปัญหาของชีวิตทุกอย่าง 

สิ่งๆ นี้ เป็นสัจธรรมอันเดียว ที่สูงยิ่งกว่าสัจธรรมทั้งหลาย. ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่พบสัจธรรมนี้ ความปลอดภัยที่แท้จริงของชีวิต ยังมีไม่ได้ สาเหตุที่คนส่วนมากไม่สนใจในเรื่องนี้  เป็นเพราะไปเข้าใจเสียว่า เรื่องพุทธธรรมไม่เกี่ยวกับคนเรา หรือเห็นไปเสียว่า ไม่จำเป็นต้องรู้ก็อาจหาความสุขได้ บางคนเห็นว่า ถ้าสนใจกับเรื่องนี้แล้ว จะต้องทำตัวเป็นฤาษีชีไพร ต้องทำตัวให้เหินห่างจากความสนุกเพลิดเพลินในโลกทุกอย่าง และบางคนถึงกับเห็นไปว่า เรื่องพุทธธรรมนั้นวิเศษจริง แต่ก็ยากที่คนอย่างเราจะเข้าใจได้ อันที่จริง ความเข้าใจเช่นนั้น เป็นการหลอกตัวเองให้เข้าใจผิดทั้งสิ้น

ข้อที่เข้าใจว่า พุทธธรรมไม่จำเป็นต้องรู้ ก็อาจหาความสุขได้นั้น ก็เป็นความจริง แต่ท่านคงไม่เคยรู้สึกว่า ความสุขที่เราแสวงหาและมีๆ กันอยู่นั้น เป็นของหลอกลวงเกือบทั้งสิ้น และมักมีพิษในภายหลังเสมอ ถ้าได้สัมผัสกับพุทธธรรมเสียบ้าง พิษที่เกิดจากความสนุกนั้นจะลดน้อยลง และสามารถแสวงหาความสุขที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไป

ข้อที่ว่า ถ้าคนสนใจกับเรื่องนี้ จะต้องออกไปเป็นฤาษีชีไพร เข้าไปแตะต้องกับความสุขในทางโลกไม่ได้เลยนั้น ข้อนี้ก็เป็นความเข้าใจผิดถนัด พุทธศาสนาไม่มีการบังคับให้เชื่อ หรือบังคับให้ทำตาม ท่านจะเป็นฤาษีหรือไม่ สุดแล้วแต่ความพอใจ และก็ไม่ใช่เป็นกฎตายตัวว่าต้องเป็นฤาษีหรือนักบวชเท่านั้น จึงจะเข้าใจพุทธธรรมได้ เรื่องนี้ท่านผู้แสดงได้ชี้แจงไว้ดีที่สุดแล้ว ในปาฐกถาของท่าน

ข้อที่ว่า คนธรรมดาไม่ใช่นักบวชหรือนักปราชญ์เข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้นั้น ก็ยังขัดต่อความจริง ในครั้งพุทธกาล ปรากฏว่าคนอายุ ๗ ขวบทั้งหญิงทั้งชาย หรือฆราวาสผู้ครองเรือน เข้าใจเรื่องนี้ได้ ก็มีอยู่ 

ข้อที่ว่า เราเห็นว่ายากนั้น อาจเป็นเพราะเราไม่สนใจอย่างแท้จริง หรือเพราะอ่านหนังสือที่ทำอย่างไรเสีย ก็ไม่อาจเข้าใจได้ ก็ได้..."