วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รู้เท่าทันกิเลส ...หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต



รู้เท่าทันกิเลส
 (หลวงปู่หล้า เขมปัตโต วัดบรรพพตคีรี
(ภูจ้อก้อ) จ.มุกดาหาร)


            ร่างกายอันมีหนังหุ้มกระดูกอยู่โดยรอบ ยืมมาจากธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ก็ต้องส่งคืนให้ดินน้ำ ลม ไฟ เพราะมันต้องแตกสลายไปสู่ธาตุเดิม ดินแตกไปเป็นดิน น้ำแตกไปเป็นน้ำ ลมแตกไปเป็นลม ไฟแตกไปเป็นไฟ ลงสู่มหาภูตธาตุเดิมคงที่

ด้านกิเลส คือ ความหลงไม่รู้ปัญหาของตน ที่มาหลงดิน หลงน้ำ หลงลม หลงไฟ  เป็นตัว เป็นตน เป็นของของตน  เมื่อตายไปก็จะมาสร้างดิน สร้างน้ำ สร้างลม สร้างไฟ เป็นเปรต เป็นผีเฝ้าดิน เฝ้าน้ำ เฝ้าลม เฝ้าไฟต่อไปอีก  และขันอยู่เหมือนนกเขาว่า ของกู ! ของกู ! ของกู !

ธรรมภายใน ภายนอกเหล่านี้ แบ่งออกเป็นสามกาล คือ ปัจจุบันกาล  อดีตกาล  อนาคตกาล เกิดขึ้นเป็นเบื้องต้น  แปรปรวนในท่ามกลาง  ดับเป็นสุดท้าย  เป็นนิจวัตรหาระหว่างไม่ได้  เมื่อปัญญาญาณไม่เห็นแจ้งในฝ่ายนิโรธสัจจะ เป็นเนืองนิตย์ติดต่ออยู่แล้ว  ความเบื่อหน่ายจากความหลง  ความคลายเมาจากความหลง  ความหลุดพ้นจากความหลง  ก็ไม่มีหนทางจะปรากฏ

          ถ้าปัจจุบันจิต ปัจจุบันธรรม ไม่มีกำลังพร้อมด้วยสติปัญญาแก่กล้า  เหนืออ้ายหลงๆ ไปแล้ว  ย่อมตีเมืองกิเลสไม่แตก แล้วกิเลสก็จะจับเอาไปเป็นเชลยศึก

ไฟราคะ  ไฟโทสะ  ไฟโมหะ หรือไฟกิเลส จะบรรเทาระงับได้ด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา อันถูกต้องทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ถ้ากำลังของกิเลสมากกว่าศีล สมาธิ  ปัญญา ก็ปราบกิเลสไม่ชนะ

          เรื่องแพ้เรื่องชนะภายนอกไม่เป็นที่นิยมชมชอบของพระพุทธศาสนา และถือว่าเป็นเรื่องเวรสนองเวร  เรื่องภัยสนองภัย  เรื่องกรรมสนองกรรม  เป็นเหตุสนองเหตุ เป็นเรื่องภายนอกพระพุทธศาสนาทั้งนั้น  ในพระพุทธศาสนานั้น ถ้าแพ้ก็แพ้กิเลสของตนคือหลงๆ เป็นต้น  ถ้าชนะก็ชนะความหลงของตน ไปเป็นตอนๆ หรือโดยสิ้นเชิง

          พระพุทธศาสนาเป็นของลึกซึ้ง  ไม่เป็นสิ่งที่ผู้มีหูหนาตาเถื่อน  จะเข้าใจความหมาย ได้ง่ายๆ ฉะนั้น ในโลกจึงมักจะเจอแต่คนตาบอด มาอวดสนเข็มกับคนตาดีเป็นส่วนมาก  ธรรมในพระพุทธศาสนานั้น ทันสมัยทุกกาล มิใช่ธรรมเถื่อน มิใช่ธรรมเดา มิใช่ธรรมด้น มิใช่ธรรมคาดคะเน เป็นธรรมที่มีแต่เนื้อ ไม่มีก้างเจือปน มิได้นิยมเพศวรรณะเลย

เมื่อจิตใจและธรรมยังไม่ถึงอริยบุคคลชั้นใดชั้นหนึ่งแล้ว ย่อมใช้สติปัญญาไปในทางกินไม่เลือก ตามใจที่มีกิเลส  ธรรมแท้นั้นเป็นทรัพย์สินของนักปราชญ์  แต่เป็นหอก เป็นง้าว เป็นฟืน เป็นไฟ ของคนพาล (เพราะคนพาลมักเข้าใจความหมายอย่างนั้น) แต่แท้จริงแล้วหาได้เป็นฟืน เป็นง้าว เป็นฟืน เป็นไฟ ของใครไม่ เป็นจริงอยู่ตามธรรมชาติของบาป บุญ ส่วนมรรค ผล นิพพานนั้น คงที่


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น